posttoday

มองเตสกิเออ

08 สิงหาคม 2555

ในหนังสือของ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย เรื่อง ทฤษฎีการเมืองยุคใหม่

โดย...วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ

ในหนังสือของ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย เรื่อง ทฤษฎีการเมืองยุคใหม่ ชี้ให้เห็นว่าความเข้าใจเรื่อง “เจตนารมณ์แห่งกฎหมายกับทฤษฎีแบ่งแยกอำนาจ” อาจไม่ใช่เหมือนที่เราเข้าใจ โดยที่ มองเตสกิเออ นั้นเกิดในตระกูลขุนนางเก่าในปี ค.ศ. 1689 ที่เมืองลาแบริด ประเทศฝรั่งเศส แนวคิดของเขามีความน่าสนใจดังนี้

1.การค้นหา “เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย” คือ การค้นหาคำอธิบายว่า ในประเทศหนึ่งในห้วงเวลาหนึ่งและเกี่ยวเนื่องกับเรื่องหนึ่ง ทำไมกฎหมายจึงต้องเป็นกฎหมายนั้น และไม่เป็นกฎหมายอื่น และทำไมในความเท่าเทียมกันของสิ่งต่างๆ กฎหมายนั้นจึงมีประสิทธิภาพ ในขณะที่กฎหมายอื่นไม่มีประสิทธิภาพ ปัญหาเหล่านี้จะมีคำตอบได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับว่า “เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย” นั้นมีอยู่ และผู้ออกกฎหมายจำต้องเคารพหลักการต่างๆ เหตุผลและแนวโน้มชี้นำต่างๆ กฎหมายล้วนแต่มีเหตุผลของมัน โดยรวมนั้นกฎหมายเป็นระบบความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ได้แก่ ความสัมพันธ์กับรัฐธรรมนูญของแต่ละระบอบการปกครอง แต่ละขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ประชากร ภูมิอากาศ ศาสนา ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของกฎหมายทั้งสิ้น ทำให้แนวคิดสังคมวิทยาการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดในกฎหมายนั้นเอง

2.มองเตสกิเออ เชื่อว่ากฎหมายเป็นภาพลักษณ์ของเหตุผล จัดทำโดยผู้มีอำนาจนิติบัญญัติ และบ่อยครั้งที่บุคคลเหล่านี้มีความสามารถด้อยกว่าภาระหน้าที่ของพวกเขามาก ความหมายเจาะลึกคือ กฎหมายนั้นยิ่งใหญ่ แต่ผู้ออกกฎหมายต่ำต้อยนัก นอกจากนี้คำว่าผู้มีอำนาจนิติบัญญัตินั้นอาจไม่ใช่ฝ่ายเสียงข้างมากก็ได้ เพราะกฎหมายบางฉบับถูกจัดทำโดยผู้มีอำนาจรัฐก็ได้ ขึ้นอยู่ว่าอำนาจนิติบัญญัติเป็นของใคร รูปแบบการปกครองระบอบอะไร นอกจากนี้เขากล่าวถึงทฤษฎีว่าด้วยรัฐบาล หรือการปกครองสามารถจำแนกออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1.สาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปกครองโดยคนจำนวนมาก พลังบังคับอยู่ที่จิตสำนึกทางการเมืองของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะการมีคุณธรรมนำหน้า

นอกจากนี้เขายังเสนอให้มีสาธารณรัฐแบบอภิชนาธิปไตย ที่เน้นอำนาจปกครองอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะเป็นพวก รู้จักนอบน้อมถ่อมตัว อันได้แก่ ขุนนาง ผู้ที่ประสานประโยชน์ของประเทศไว้ได้ 2.ระบอบกษัตริย์ ระบอบนี้คือ คนคนเดียวปกครองและเป็นที่มาของพลังอำนาจทั้งหลาย สำหรับเขาเห็นว่าเหมาะกับรัฐบาลขนาดกลาง ในขณะที่รูปแบบสาธารณะเหมาะสำหรับรัฐเล็กๆ ในระบอบกษัตริย์ เขาเห็นว่าเป็นระบอบที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความแตกต่างอันเด่นชัดและถาวรระหว่างบุคคล และสถานภาพทางสังคม ซึ่งสร้างความไม่เสมอภาคให้เกิดขึ้นมาโดยใช้ “เกียรติยศ” จากการที่แต่ละคนมีความปรารถนาที่จะเข้ามาปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งสถานภาพของตนและของกลุ่มคณะอย่างเต็มที่ ซึ่งเท่ากับแต่ละคนรับใช้รัฐกษัตริย์ไปในตัว 3.ระบอบทรราช เขามีความชัดเจนว่า เป็นระบอบการปกครองที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อปกครองสัตว์มากกว่าเพื่อปกครองมนุษย์ เป็นระบอบที่ใช้แต่กำลังและความรุนแรงปราศจากกฎหมาย แต่ปกครองด้วยเจตจำนงของตัวเองและตามใจตน บ่อยครั้งทีเดียวทรราชไม่ปกครองด้วยตนเอง เนื่องด้วยไม่มีเวลาเพราะมีเหตุข้ออ้างต่างๆ มากมาย สุดท้ายเป็นที่มาของการมอบหมายให้นอมินีเป็นผู้ทำการแทน

จุดหมายของระบอบนี้คือ ความสงบ ซึ่งล็อกเรียกว่า ความสงบแห่งสุสานฝังศพ แต่เขาเห็นว่าไม่ใช่ความสงบอะไรทั้งสิ้น กลับเป็นความสงบเงียบ (เหมือนประกาศเคอร์ฟิว) ของเมืองที่ศัตรูพร้อมที่จะเข้ามายึดครอง ทรราชเองก็ต้องคอยระวังอยู่เสมอและจะผ่อนคลายอำนาจไม่ได้เลย ในระบอบนี้มนุษย์ก็ไม่แตกต่างไปจากสัตว์ คือ จะมีได้แต่สัญชาตญาณการเชื่อฟังและการลงโทษ

3.เสรีภาพ คือ อำนาจแห่งกฎหมาย ไม่ใช่อำนาจประชาชน กล่าวคือ สิทธิที่จะกระทำการทุกอย่างที่กฎหมายอนุญาต และถ้าประชาชนคนหนึ่งสามารถกระทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามไว้แล้ว เสรีภาพก็ไม่อาจจะมีอยู่ได้เลย เพราะประชาชนคนอื่นๆ ก็จะมีอำนาจนี้เช่นกัน อันเป็นที่มาของ “ทฤษฎีแบ่งแยกอำนาจ” บนฐานคติที่ว่า “มนุษย์ทุกคนที่มีอำนาจมักจะต้องลุแก่อำนาจ และเขาก็ต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าเขาจะพบขอบเขต แต่ใครล่ะจะบอกได้ว่าขอบเขตนี้มันอยู่ที่ไหน? แม้แต่คุณธรรมเองก็ยังต้องมีขอบเขตการลุอำนาจนี้จะถูกขีดขวางได้แค่โดยการจัดให้อำนาจมาหยุดยั้งอำนาจด้วยกันเอง “นั้นหมายความว่า อำนาจจะต้องไม่ถูกรวมเข้ามาอยู่ที่องค์กรหนึ่งเดียว แต่ให้มีการแบ่งกระจายออกไป เขากล่าวว่า “ทุกอย่างจะพังพินาศหมด ถ้าคนคนเดียวกันหรือองค์คณะบุคคลเดียวกัน เป็นผู้ใช้อำนาจทั้งสาม คือ อำนาจออกกฎหมาย (นิติบัญญัติ) อำนาจดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติต่างๆ อันเกี่ยวกับกิจการสาธารณะ (บริหาร) และอำนาจตัดสินอาชญากรรม หรือข้อพิพาทของเอกชน (ตุลาการ)” ทั้งนี้ เพราะว่าเสรีภาพจะมีอยู่ไม่ได้เลย เขาเน้นที่เสรีภาพของประชาชนต้องได้รับความคุ้มครอง หากฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติจับมือกันออกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ย่อมทำให้เสรีภาพอันเป็นหลักการสูงสุดนั้นสลายหายไป

4.โดยสรุป พบว่า ในความจริงทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออไม่ได้มีขอบเขตอย่างที่คนรุ่นต่อมาเข้าใจกัน เขายืนยันว่า อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ จะต้องไม่มารวมอยู่ที่องค์กรเดียวกัน เขาไม่ได้คิดไปไกลถึงกับจะให้มีการแยกกันอย่างเคร่งครัดระหว่างอำนาจทั้งสาม สิ่งที่เขาต้องการคือ ความกลมกลืนระหว่างอำนาจต่างๆ และให้ทั้งสามองค์กรเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดร่วมกันและอย่างแยกไม่ได้ กล่าวคือ ต้องการความเป็นสหอธิปไตย เป็นการอธิบายได้ว่าทฤษฎีของมองเตสกิเออเป็นทฤษฎีแห่งการถ่วงดุลระหว่างพลังอำนาจต่างๆ ซึ่งก็ได้แก่ กษัตริย์ ประชาชน และขุนนาง อันเป็นการเมืองของแถบประเทศบ้านเกิดของเขา... ไม่ใช่ของเราครับ...

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์