คนเป็นไร้ที่อยู่-คนตายไร้ที่ฝัง ชาวเลแห่งอันดามัน
ชายหาดคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ที่พากันข้ามฟ้ามาเล่นน้ำทะเลใสสีเขียวครามบนเกาะแห่งนี้
โดย...ภาสกร จำลองราช
ชายหาดคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ที่พากันข้ามฟ้ามาเล่นน้ำทะเลใสสีเขียวครามบนเกาะแห่งนี้
ในมุมเล็กๆ บนชายหาดทรายขาวนวล ชาวเลกลุ่มหนึ่งกำลังทำพิธีเคารพหลุมศพบรรพบุรุษ ทันทีที่การไหว้เสร็จสิ้น เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น ผู้หญิง 5-6 คน ต่างพากันร่ายรำตามจังหวะ บางคนร้องเพลงไปด้วย
นักท่องเที่ยวในชุดว่ายน้ำหลายคนที่เหลือบเห็นต่างให้ความสนใจ พากันเข้ามาชมและถ่ายภาพกันอย่างกลัวๆ กล้าๆ เหมือนได้เห็นความผิดปกติหรือความแปลกประหลาดเกิดขึ้นบนชายหาด
ขณะที่ “เยาะอาบัง” แม่เฒ่าวัยอูรักลาโว้ย ยังคงนั่งเซื่องซึมดูสภาพสุสานที่ถูกโบกทับด้วยพื้นปูนจากร้านอาหารที่เพิ่งเจ๊งไป ซึ่งหนึ่งในหลุมศพที่อยู่ในนั้นคือพ่อของแก
เสียงวี้ดว้ายสนุกสนานจากนักท่องเที่ยวยังคงดังไม่ขาดสาย เหล่าผู้ประกอบการและไกด์ชาวไทยต่างรุมเอาอกเอาใจและปรนเปรอความสุขให้อาตี๋อาหมวย เพื่อแลกกับเม็ดเงินที่กอบโกยเข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำ
ภาพบรรจบระหว่างวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นดั้งเดิม และบรรยากาศฟูฟ่องของการท่องเที่ยวบนชายหาดแห่งนี้ สะท้อนสถานการณ์ในท้องทะเลอันดามันได้คมชัดยิ่ง
ท้องทะเลกว้างใหญ่ แต่อ้างว้างสำหรับชาวเล เพราะแทบไม่เหลือผืนน้ำผืนทรายไว้ให้ซุกตัว แม้แต่ใช้ฝังร่างเมื่อยามลาลับ...
...เยาะอาบัง หรือยายอาบัง เกิดบนเกาะเฮ จ.ภูเก็ต เมื่อ 80 กว่าปีก่อน แกจำได้ว่าเมื่อตอนเล็กๆ บนเกาะที่มีหาดทรายยาวราว 1 กิโลเมตรแห่งนี้คึกคักไปด้วยญาติพี่น้องอูรักลาโว้ยและต้นมะพร้าวใหญ่
วิถีชีวิตของชาวอูรักลาโว้ยก็เช่นเดียวกับชาวเลกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมอแกนหรือมอแกลน คือผูกโยงอยู่กับทะเลตั้งแต่ลืมตาจนหลับตา
“สมัยนั้นหาปลาได้ก็เอาไปตากแดดเก็บไว้ พอได้เยอะหน่อยก็เอาขึ้นฝั่งไปแลกกับข้าว” แม่เฒ่ายังจดจำชีวิตในวัยเด็กได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นช่วงที่แกมีความสุขท่ามกลางทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญกว่านั้นคือความมีอิสระแห่งท้องทะเล
เกาะเฮในยุคที่เยาะยังเด็กนั้น แทบไม่มีคนนอกเข้าเหยียบเลย แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำใสๆ หาดทรายขาวๆ และปะการังใต้ทะเลคือความงามที่คนนอกต้องการ เช่นเดียวกับเกาะอื่นๆ ในภูเก็ตที่เป็นเพียงที่หลบแดดหลบฝนของชาวประมงและที่พักของชาวเลในบางฤดูกาล
ทุกเกาะไม่มีใครเป็นเจ้าของ ขณะที่คำว่า “นักท่องเที่ยว” ยังไม่คุ้นชินสำหรับสังคมไทย
พออายุ 10 ปี แม่เฒ่าต้องสูญเสียพ่อไป แกยังจำได้แม่นถึงจุดที่ฝังศพครั้งนั้น ซึ่งในทุกๆ ปี แต่ละบ้านจะต้องมาเซ่นไหว้สุสาน หรือใครตั้งจิตภาวนาขออะไรไว้ก็ต้องมาแก้บนที่นี่
สุสานและชุมชนต่างอยู่คู่กัน ทั้งคนและผีต่างเกื้อกูลกันมายาวนาน
“อายุ 14 ปี พวกเราต้องย้ายขึ้นฝั่งไปอยู่ที่ราไวย์ เพราะมีคนท้องเป็นโรคตาย 4-5 คน” เยาะและชาวอูรักลาโว้ยทุกครอบครัวอพยพขึ้นไปอยู่กับญาติพี่น้องบนหาดราไวย์ชั่วคราว ซึ่งสมัยนั้นเป็นหมู่บ้านที่ชาวเลใช้หลบแดดหลบฝนอยู่ก่อนแล้ว โรคที่ระบาดตอนนั้นคืออหิวาต์ “พวกเราตั้งใจว่าพอดีขึ้นจะกลับมาอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้กลับ”
ก่อนหน้าที่ชาวบ้านออกจากเกาะเฮและไปๆ มาๆ ได้มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และครูกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะฮุบที่บนเกาะเฮ โดยบอกให้ชาวเลย้ายไปอยู่ที่อื่น
สังคมไทยสมัยก่อน ไม่ว่าชาวบ้านที่ใดต่างก็หวาดกลัวและเกรงใจข้าราชการเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งเป็นมนุษย์น้ำอย่างชาวเล ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่อยากพบเจอคนบนบก เมื่อประจวบเหตุการณ์โรคระบาด ในที่สุดที่ดินที่ชาวเลเคยอาศัยอยู่บนเกาะเฮก็ตกไปอยู่ในมือของข้าราชการกลุ่มนี้ทั้งหมด และพวกเขาได้ขายกันเป็นทอดๆ ในเวลาต่อมา
แม้กระทั่งสุสานของชาวเล ซึ่งควรจะเป็นสมบัติของสาธารณะก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นเอกสารสิทธิของผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาได้ให้คนเช่าและทำเป็นร้านอาหาร โดยเทพื้นปูนทับหลุมฝังศพชาวเลโดยไม่สนใจกระดูกและวิญญาณที่สถิตอยู่ในผืนทรายแห่งนี้เลย แต่สุดท้ายร้านอาหารแห่งนี้ก็เจ๊งไม่เป็นท่า เช่นเดียวกับสิ่งปลูกสร้างอีกหลายแห่งที่ทับสุสาน
“ตั้งแต่ออกไป เยาะก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ได้แต่ฟังข่าวจากญาติๆ ที่แวะมาดู” ผู้เฒ่ารู้สึกแปลบๆ ในใจทุกครั้งที่นึกถึงสุสานและหลุมฝังศพของพ่อบนเกาะเฮ “เมื่อก่อนเดินทางลำบาก ต้องนั่งเรือนานกว่าจะมาถึง”
ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 60 กว่าปี ที่แม่เฒ่าได้กลับมาเหยียบเกาะที่เป็นบ้านเกิด...
...แม้เยาะอาบังไม่มีโอกาสกลับมาดูสุสานบนเกาะเฮมานาน แต่ “ลุงสน” ผู้เฒ่าอูรักลาโว้ยและชาวบ้านคนอื่นๆ ยังคงแวะเวียนมากราบไหว้บรรพบุรุษ และแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงเดือน 5 ที่ต้องมาทำพิธีไหว้สุสาน
ลุงสนเกิดที่ราไวย์ แต่ก็ได้มาคลุกคลีกับญาติมิตรและปีนต้นมะพร้าวบนเกาะเฮมาตั้งแต่เด็ก แกเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงบนเกาะแห่งนี้ด้วยความเป็นห่วงมาโดยตลอด
“เมื่อก่อนมีต้นมะพร้าวอยู่เต็มไปหมด เขาค่อยๆ ตัดทิ้ง เอาพื้นที่ไปทำร้านอาหารและที่พักกันหมด” แน่นอนว่าคนที่มีอาชีพปีนเก็บลูกมะพร้าวอย่างแก ย่อมเสียดายต้นมะพร้าว แต่ความเสียดายของแกก็เป็นส่วนสำคัญในการยืนเคียงคู่ธรรมชาติ
“ตอนหลังนายทุนที่อ้างกรรมสิทธิ์บนที่ดิน เขาห้ามชาวเลเข้าพื้นที่เด็ดขาด อย่าว่าแต่เข้ามาไหว้หลุมศพเลย แค่เห็นเรือชาวเลมาจอด เขายังส่งคนมาห้ามไม่ให้ขึ้นหาดเลย” ลุงสนอธิบายสถานการณ์ “คนตายไม่มีที่ฝัง คนเป็นไม่มีที่อยู่” ของชาวเลได้ชัดแจ๋ว
นักวิชาการบางรายเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ท้องทะเลอันดามันจะไม่มีชาวเลเหลืออยู่ เนื่องจากถูกรุกไล่อย่างหนักหน่วง ตั้งแต่เรื่องที่อยู่อาศัย วิถีวัฒนธรรม ไปจนถึงจิตวิญญาณ
ผืนทะเลถูกจับจองและมีคนอ้างความเป็นเจ้าของกันหมด ขณะที่เรือประมงเล็กๆ ของชาวบ้านถูกกล่าวหาว่าบ่อนทำลายธรรมชาติและทำลายความรู้สึกของการท่องเที่ยว แต่เรืออวนรุนอวนลากขนาดใหญ่กลับกอบโกยสัตว์น้ำไม่เลือกขนาดตามริมฝั่งกันอย่างลอยนวล
ปัจจุบันสุสานและพื้นที่ทำพิธีกรรมของชาวเลนับสิบแห่งถูกนายทุนอ้างกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ หลุมฝังศพตามชายหาดทั้งบนฝั่งและบนเกาะชื่อดังหลายแห่งถูกเนรมิตเป็นโรงแรมหรู แม้กระทั่งชุมชนหาดราไวย์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวเลก็ยังถูกออกเอกสารสิทธิจนหมดสิ้น
“เราขอแค่ให้ลูกหลานกลับมาไหว้หลุมศพได้เหมือนเดิมก็พอ” เสียงของลุงสนและเยาะอาบังบอกเบาๆ อย่างเกรงใจและไม่มั่นใจในคำขอ
ไม่มั่นใจแม้กระทั่งว่าในวันที่พวกแกต้องคืนสู่ดินอีกไม่ช้า จะยังมีสุสานหรือผืนดินฝังร่างของผู้เฒ่าอยู่หรือไม่


