posttoday

รัฐอภิบาล

14 กรกฎาคม 2555

รัฐอภิบาล แปลว่า ผู้ดูแลหรือคุ้มครองรัฐบาล ต่างจากคำว่า รัฐบาล ที่แปลว่า ผู้ปกครองหรือดูแลประเทศ

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

รัฐอภิบาล แปลว่า ผู้ดูแลหรือคุ้มครองรัฐบาล ต่างจากคำว่า รัฐบาล ที่แปลว่า ผู้ปกครองหรือดูแลประเทศ รัฐอภิบาลจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุที่รัฐบาลนั้นมีความอ่อนแอ หรืออยู่ในภาวะที่กำลังเจริญเติบโต หรือไม่ก็กำลังเจ็บป่วย คล้ายๆ กับรัฐบาลของประเทศไทยนี่แหละ

ตามทฤษฎีการบริหาร หรือที่เรียกเป็นภาษาวิชาการว่า รัฐประศาสนศาสตร์ รัฐบาลคือผู้ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ โดยมีกลไกที่ทำหน้าที่นี้อยู่ 2 ส่วน คือ คณะรัฐมนตรีกับข้าราชการ โดยคณะรัฐมนตรีทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ส่วนข้าราชการต้องคอยปฏิบัติงานตามนโยบายนั้น ซึ่งตามความเป็นจริงจะต้องมีกลไกอีกส่วนหนึ่ง คือ ผู้ปกครองดูแลรัฐบาลหรือ “รัฐอภิบาล” จึงจะทำให้รัฐบาลนั้นมีความอยู่รอดปลอดภัยและแข็งแรงมั่นคง

กรณีของประเทศไทย เรายังเคว้งคว้างอยู่ในแนวคิดที่เลือกผู้อภิบาลผิดๆ หรือไม่ก็แค่ถือคติว่า “สิบเบี้ยใกล้มือ” หยิบฉวยอะไรที่พอจะพึ่งพาได้ก็ไปคว้าเอามาไว้ ยังไม่มีการคิดให้เป็นทฤษฎีหรือระบบที่ถูกต้อง อย่างเช่นการเอาทหารหรือญาติพี่น้องมาเป็นรัฐอภิบาล

ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ปัญหาอย่างหนึ่งของผู้ปกครองไทย คือ พระมหากษัตริย์ในยุคนั้นก็ทรงวิตกกังวลว่าประเทศไทยมีความเปราะบางอยู่ในหลายๆ เรื่อง อย่างเช่นในเรื่องที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองประเทศ ที่ประชาชนยังไม่มีความพร้อม รวมทั้งชนชั้นนำที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในรูปแบบการปกครองแบบใหม่ ที่สำคัญก็คือ ระบบการเมืองใหม่ที่ต้องเกิดขึ้นนั้นจะทำให้มั่นคงแข็งแรงได้อย่างไร

รัฐอภิบาล

คณะราษฎรผู้เข้ายึดอำนาจในวันที่ 24 มิ.ย. 2475 คงคิดเอาง่ายๆ ว่า ทหารนี่แหละคือรัฐอภิบาลที่จะมาช่วยปกป้องให้รัฐบาลแคล้วคลาด ด้วยเหตุนี้คณะราษฎรจึงไม่คิดที่จะสร้างกลไกอื่นมาช่วยทำให้รัฐบาลปลอดภัย ดังจะเห็นได้จากความคิดที่จะไม่ให้มีคู่แข่งทางการเมือง โดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าให้มีองค์กรทางการเมืองเพียงกลุ่มเดียว คือ คณะราษฎร นั่นก็คือการปิดโอกาสที่จะไม่ให้มีกลุ่มการเมืองอื่นมาถ่วงดุล ที่ตามหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยการถ่วงดุลนี่แหละจะช่วยให้ระบบสามารถประคับประคองกันให้อยู่รอดไปได้

พูดง่ายๆ ก็คือ คณะราษฎรอ้างว่าล้มพระมหากษัตริย์เพื่อเอาประชาธิปไตยที่ปกครองโดยประชาชนมาแทนที่การปกครองโดยคนคนเดียวที่คณะราษฎรประณามว่าชอบปกครองตามอำเภอใจ แต่เพียงแค่เริ่มต้นคือคณะราษฎรนั่นแหละก็ใช้ “อำเภอใจ” ของกลุ่มตนกำหนดระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมา เพราะไปจำกัดเสรีภาพอันสำคัญของระบอบประชาธิปไตย นั่นก็คือเสรีภาพในทางการเมืองที่จำเป็นจะต้องให้ผู้คนสามารถเข้าถึงและกำกับควบคุมรัฐบาลได้ ซึ่งระบบพรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์อันหลากหลาย คือกลไกที่จะมาทำหน้าที่เรื่องนี้ตรงนี้

เมื่อช่วงที่มีการระลึกถึง 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา นักวิชาการบางท่านจึงเรียกระบอบการปกครองที่ถูกเปลี่ยนแปลงมานั้นว่า “ระบอบรัฐธรรมนูญ” เพราะเป็นการเปลี่ยนแค่เอาพระมหากษัตริย์ไปซุกไว้ใต้รัฐธรรมนูญที่ผู้ปกครองกลุ่มใหม่เขียนขึ้นมา หาได้เป็นการอภิวัฒน์ไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใดไม่

เขียนมาตรงนี้ทำให้นึกถึงท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ต่อสู้กับวิกฤตการเมืองด้วยอารมณ์ขัน ท่านเคยท่องกลอนลิเกที่คงจะฮิตมากในสมัยนั้น ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ทางการเมืองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า “พระยาพหลเป็นต้นเหตุ พระองค์บวรเดชเป็นต้นเรื่อง มันขับเจ้าเข้าป่า แล้วไปเอา...มานั่งเมือง เตร้ง เตรง เตร่ง เตร้ง...”

ประชาธิปไตย (ปลอมๆ) ภายใต้ท็อปบู๊ตหรือรองเท้าทหารนี้ คงจะเป็นลักษณะเด่นของระบอบประชาธิปไตยไทย เพราะเหตุที่คณะราษฎรต้องพึ่งพิงทหารมาตั้งแต่ต้น ว่ากันไปแล้วก็น่าเห็นใจ เพราะถ้าไม่พึ่งทหารก็ปฏิวัติไม่สำเร็จ และเมื่อปฏิวัติแล้วไม่เอาทหารมาเลี้ยงไว้ก็จะกลายเป็นหอกข้างแคร่ แล้วจะเอามาเลี้ยงไว้ในฐานะอะไร ซึ่งก็ต้องให้เกียรติท่านพอสมควร เพราะท่านคือ “ที่สองรองภูมินทร์” มาตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่สุดคณะราษฎรก็เอาผู้นำทหารที่ร่วมเปลี่ยนแปลงมาเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับให้มือรองฝ่ายทหารมีตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี เป็นสมุหพระกลาโหม เอ๊ย รัฐมนตรีกลาโหม อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

จุดเปลี่ยนอันสำคัญของการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง คือ วันที่ 14 ต.ค. 2516 ที่หลายคนนึกว่าทหารน่าจะหมดความสำคัญไปได้แล้วจากการเมืองไทย แต่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในยุคนี้นี่แหละที่ไปเชิญทหารกลับเข้ามามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง ด้วยการยืมมือทหารมาบีบนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งด้วยกัน จนนายกรัฐมนตรียุคนั้น คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องประกาศยุบสภา จากนั้นบ้านเมืองก็วุ่นวายจนเกิด 6 ต.ค. 2519 ที่นำทหารขึ้นครองอำนาจอย่างเต็มตัว ทั้งยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองรัฐบาลที่ทหารตั้งขึ้น จนนายกรัฐมนตรีครั้งนั้น คือ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ท่านต้องยอมรับว่าทหารนั้นคือเปลือกหอย อันเป็นที่มาของชื่อ “รัฐบาลหอย” ซึ่งถึงทุกวันนี้ทุกรัฐบาลแม้จะไม่ชอบทหาร แต่ก็ต้องยอมให้ทหารเป็นเปลือกหอยด้วยความจำใจ

ที่ทหารมีความยิ่งใหญ่ในทางการเมืองมาถึงทุกวันนี้ น่าจะเป็นเพราะสิ่งเดียวก็คือ “ฝันร้าย” ในประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยที่ผ่านมาดังกล่าว จนทำให้คนไทยและนักการเมืองไทยชอบคิดเอาเอง หรืออย่างที่นักกฎหมายบางคนเรียกว่า “จินตนาการล่วงหน้า” ว่า ถ้าไม่พึ่งทหารแล้วรัฐบาลจะไปไม่รอด ถึงขั้นที่บางครั้งก็ทำอะไรที่น่าเกลียด อย่างเช่นการไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจนเป็นตราบาปของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ที่ผู้เขียนเคยตั้งฉายาให้ว่า “รัฐบาลลูกน้อยหอยสังข์” เพราะความเป็นเด็กของ อภิสิทธิ์ และไร้เดียงสาจนต้องมีคนอื่นๆ มาให้ความคุ้มครองดูแล)

ถ้าจะว่ากันไปแล้วทหารไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมายนัก (ก็แปลว่ายังกลัวทหารอยู่นั่นแหละ) เพราะถ้ามีใครไปสัมภาษณ์ผู้นำทหาร ท่านก็บอกว่าท่านและกองทัพ (เอ้อ ต้องอ้างกองทัพสิ จะได้ดูใหญ่ๆ และน่ากลัว) ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือไปถามว่าท่านจะปฏิวัติหรือไม่ ท่านก็จะท่องคาถาเหมือนคนติดอ่างว่า “ไม่ๆๆๆ” แต่ที่สุดทุกคนก็ยังกลัวทหารอยู่นั่นเอง (ฮา)

ได้ยินมาว่าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ (ถ้ามี) นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ (บางคนก็เรียกว่า “ยิ่งลึกลับ” หรือ “ยิ่งลับๆ ล่อๆ” เพราะดูเธอไม่ค่อยสู้หน้าผู้คนอะไรเลย) จะขอควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม นี่อาจจะเป็นการลดความกลัวที่ว่านี้ได้บ้าง หรือไม่ก็อาจจะยิ่งพาให้รัฐบาลลาโรงไปเร็วมากขึ้น เพราะทหารและกองทัพไทยท่านมีขนบธรรมเนียมอะไรบางอย่างที่ขวางๆ อยู่

สรุปว่าตลอดเวลา 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่อุปโลกน์กันว่ามาสู่ระบอบประชาธิปไตยนั้น ชนชั้นปกครองของไทยยังคงมีความเชื่อ หรือ “จินตนาการผิดๆ” เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรงของระบอบการเมืองว่าจะต้องพึ่งทหารเป็นหลัก เพราะความจริงนั้นเมื่อปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็ต้องใช้ “ประชาชน” นั่นแหละมาค้ำจุนรัฐบาล

และอาจจะสรุป (ของสรุป) อีกครั้งหนึ่งได้ว่า ผู้ปกครองของไทยยังมีความรู้ในระบอบประชาธิปไตยอยู่แค่ระดับ “ประชาบาล” และคงจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควรที่จะจบ “มหาวิทยาลัยประชาธิปไตย” จนจะพอเข้าใจว่าทหารก็คือประชาชน เมื่อท่านกลัวทหารก็ควรจะกลัวประชาชนของท่านด้วย ในทำนองเดียวกัน ถ้าท่านรักทหารก็ต้องรักประชาชนของท่านด้วย

จะว่าอย่างไรดีครับคุณปู (ผู้อยากเป็นเปลือกหอย)?

 

ข่าวล่าสุด

LIVE ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อีสปอร์ต FC Mobile ไทย พบ เวียดนาม นัดชิงฯ วันนี้