เครือข่ายครอบครัวฯ ชำแหละสื่อไทย น้ำเน่า-เสื่อมทราม-ข่ยเซ็กซ์
วันที่ปัญหาสังคมเริ่มลุกลามขยายวงกว้างเข้าสู่เยาวชน เด็ก ทั้งเรื่องของความรุนแรง ยาเสพติด และเรื่องเพศ
โดย...สุภชาติ เล็บนาค
วันที่ปัญหาสังคมเริ่มลุกลามขยายวงกว้างเข้าสู่เยาวชน เด็ก ทั้งเรื่องของความรุนแรง ยาเสพติด และเรื่องเพศ ท่ามกลางการถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาล อีกหนึ่งตัวการที่หนีไม่พ้นความรับผิดชอบก็คือ “สื่อมวลชน” ที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดจนกระแสปากต่อปากไปสู่ผู้รับสื่อ
น่าสนใจก็ตรงที่ว่า วันที่สังคมเปลี่ยนไปนั้น สื่อตระหนักในอิทธิพลของตัวเอง ตลอดจนบทบาทที่จะชี้นำสังคมมากน้อยแค่ไหน
อัญญาอร พานิชพึ่งรัถ ประธานเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ ซึ่งทำหน้าที่ติดตามกระบวนการทำงาน ไปจนถึงวิเคราะห์สื่อมวลชนแต่ละแขนงในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม วิเคราะห์อำนาจของอิทธิพลสื่อทุกวันนี้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อสะท้อนความจริงว่า สิ่งที่สังคมเคยคาดหวังว่าจะให้เป็นกระจกเงา หมาเฝ้าบ้าน หรือตะเกียงส่องทางนั้น สถานการณ์สื่อไทยในปัจจุบันอยู่ในรูปแบบใด
สื่อหลักเสื่อมโทรม
อัญญาอร เริ่มต้นอธิบายโดยเริ่มต้นจากการวิพากษ์วิจารณ์การให้ข้อมูลข่าวสารว่า เห็นได้ชัดว่าหน้าที่ดังกล่าวต่างอยู่ภายใต้การรับใช้ทุน เพราะนายทุนนั้นเริ่มจับทางถูกแล้วว่า การเข้าหาสื่อมวลชนผ่านการซื้อโฆษณานั้นสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นในช่วงข่าวที่มีค่าโฆษณาสูงสุด จะเห็นข่าวเปิดโปงการกระทำผิดอยู่ไม่กี่ชิ้น ตรงกันข้ามกับรายการเล่าข่าวที่มีให้เห็นมากกว่าหลายเท่าตัว ซึ่งการใช้ทัศนคติส่วนตัวเล่าข่าวนั้น ยิ่งทำให้ผู้ที่ติดตามรับชมคิดถึงข้อเท็จจริง คิดถึงผลกระทบ และตั้งคำถามกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยลง โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน
เมื่อตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยลง ก็ทำให้การเลือกรับสื่อโทรทัศน์ของเยาวชนไร้ทิศทางมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในละครทีวี
อัญญาอร ชี้ให้เห็นว่า ช่วง 10 ปีให้หลังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย การเปลี่ยนแปลงที่ทุกฝ่ายตั้งเป้าว่าจะมีละครสร้างสรรค์ เสริมสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำให้คำว่า “น้ำเน่า” ยังอยู่คู่กับละครไทยเสมอมา ทว่าความพยายามสร้างความสมจริงกลับยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เยาวชนมองสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมายานั้น เสมือนสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และสามารถเป็นแนวทางดำเนินชีวิตในอนาคต ซึ่งวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาความรุนแรง ปัญหาความรักที่วัยรุ่นเลือกใช้ล้วนเกิดขึ้นล้วนเป็นแบบเดียวกับวิธีแก้ปัญหาในละครทั้งนั้น
“คุณจะเห็นได้ว่าเวลาสัมภาษณ์เยาวชนที่กระทำความผิด เข้าสถานพินิจ หรือโดนคดีอะไรมาก็แล้วแต่ เด็กเขาตอบได้เป็นฉากๆ เลยว่า เอาเรื่องอย่างนี้มาจากละครเรื่องอะไร หรือเอามาจากรายการอะไร นี่คือความล้มเหลวอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่าระบบการจัดเรตติ้ง หรือการจัดช่วงเวลาการฉายไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ทำให้เรายังเห็นละครเย็น ละครค่ำ ที่มีเนื้อเรื่องแย่งสามีภรรยา หรือรายการหาคู่ที่ใช้วาจาส่อเสียดไปในเรื่องเพศออกอากาศในบ่ายวันเสาร์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และผู้จัดละคร หรือสถานีโทรทัศน์ต้นสังกัดพยายามเอาหูทวนลม” ประธานเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ กล่าว
สำหรับสื่ออย่างภาพยนตร์นั้น แม้จะมีการจัดเรตติ้งและเข้มงวดในระดับหนึ่งแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ยังพบว่าในภาพยนตร์หลายเรื่องที่มีเรตติ้งสำหรับกลุ่มผู้ชมทุกวัยนั้น ยังคงมีการนำภาพยนตร์ตัวอย่างที่มีเรตติ้งเฉพาะกลุ่มเข้าไปฉายก่อนหนังจะเริ่ม ซึ่งภาพยนตร์ตัวอย่างหลายเรื่องมีทั้งฉากการมีเพศสัมพันธ์ หรือความรุนแรงบางอย่างนำเรื่องก่อนที่ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชันจะฉาย
เครือข่ายฯ เคยร้องเรียนไปยังผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์แล้ว คำตอบที่ได้ก็คือ ให้ผู้ชมภาพยนตร์คำนวณเวลาเอาเองว่าควรเข้าหลังจากเวลาเริ่มฉายกี่นาทีเพื่อจะได้ไม่ต้องชมภาพยนตร์ตัวอย่าง
ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์อย่างนิตยสารนั้น เขาชี้ว่า นับวันยิ่งสะท้อนภาพโป๊เปลือย หรือนัยที่แสดงอารมณ์ทางเพศอย่างโจ๋งครึ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีการควบคุมการจัดพิมพ์ เพราะฉะนั้นทุกแผงหนังสือจะได้เห็นนิตยสารเหล่านี้จำนวนมาก ซึ่งเจ้าของแผงหนังสือก็ยินดีจะนำหนังสือเหล่านี้ขึ้นมาไว้ด้านหน้า เพราะสามารถดึงดูดใจผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์เองก็ไม่ได้ต่างจากนิตยสารเท่าใด เพราะในหนังสือพิมพ์หัวสีหลายเล่ม ภาพศพ หรือภาพความรุนแรงยังปรากฏอยู่เนืองๆ ขณะที่หนังสือพิมพ์บันเทิงหลายเล่มก็ยังใช้ภาพเปลือย หรือภาพที่ดาราเผลอจนเห็นกางเกงในนำมาขึ้นเป็นภาพใหญ่
ส่วนสื่ออินเทอร์เน็ตนั้น อัญญาอร ชี้ว่ายิ่งไม่มีความหวัง สถิติการร้องเรียนเว็บไซต์ลามก หรือเว็บบอร์ดหาคู่ ชวนกันไปร่วมเพศก็มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเครือข่ายฯ ได้ร้องเรียนไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) หลายครั้งก็ไม่เคยได้รับการแก้ไขหรือตอบรับอะไรเลย
นี่คือความสิ้นหวังของผู้ปกครอง ในวันที่สังคมยอมรับระบบไอทีเข้ามามากขึ้น โดยไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กมากพอ
แม้ว่าประเด็นที่พูดถึงขนาดนี้จะนอกเหนือจากสื่อหลัก และแพร่ระบาดไปยังเคเบิลทีวีแล้ว ทั้งการขายสินค้าปลุกอารมณ์ทางเพศ การสร้างความเกลียดชังทางการเมืองด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่เครือข่ายฯ ก็ยืนยันว่ากำลังอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูล โดย อัญญาอร ยอมรับว่า ประเด็นการจัดการเรื่องนี้ใหญ่เกินไปและเกินกำลังเครือข่ายฯ ที่มีอยู่
ควบคุมกันเองล้มเหลวหน้าที่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาของเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ ก็คือการเดินหน้าชนกับสื่อเสื่อมโทรมเหล่านี้ โดยบทบาทล่าสุดก็คือการทำหนังสือร้องเรียนรายการไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ที่นำเสนอภาพสาวเปลือยอกวาดภาพออกอากาศในรายการ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ
กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จนในที่สุด กสทช.ก็สั่งปรับรายการดังกล่าว
จริงอยู่ว่า แม้ในบรรดาสื่อทั้งหมดที่เอ่ยมาข้างต้นจะมีกระบวนการหรือกลไกการควบคุมกันเอง เช่น สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ แต่เขาก็ชี้ให้เห็นว่า การควบคุมเหล่านี้ไม่ได้ผลมากนัก เพราะการเตือนโดยสมาชิกกันเองไม่มีใครฟัง และไม่มีอำนาจมากพอในการจัดการ
“หลายปีก่อนมีหนังสือพิมพ์กีฬาที่ลงเนื้อหาเกี่ยวกับการพนันฟุตบอลอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์ได้ตักเตือนไป พร้อมกับระบุให้แก้ไขเนื้อหาดังกล่าว แต่เมื่อหนังสือพิมพ์กีฬาฉบับดังกล่าวได้รับการแจ้งเตือนก็ไม่พอใจ ลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์ เมื่อหนังสือพิมพ์ลาออก ก็ไม่มีใครจัดการหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้ และยังอยู่บนแผงต่อไป ท่ามกลางความนิยมของเด็กและเยาวชน” อัญญาอร กล่าว
ส่วนกระบวนการควบคุมกันเองผ่านสื่อโทรทัศน์ยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ที่ระบุว่าจะร่วมกับเครือข่ายในการจัดเรตติ้ง และการจัดผังรายการให้เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนนั้น ในช่วงแรกๆ ได้มีการจัดเวลาให้รายการเด็ก รวมถึงย้ายรายการที่มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยงไปไว้ในช่วงดึก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การจัดเวลารายการทั้งหมดก็กลับไปผสมปนเปกันแบบเดิม
แม้ว่าจะมีกลไกควบคุมจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการภายใต้ กสทช.เกิดขึ้น แต่ อัญญาอร ก็ยังผิดหวังพอสมควร เนื่องจากการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสื่อนั้นล่าช้า และความเข้มงวดในการจัดเรตติ้งก็ยังไม่ออกมาเป็นรูปธรรมมากนัก
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังตั้งความหวังว่า สารพัดอนุกรรมการของ กสทช.ที่มีหน้าที่พิจารณาครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสื่อ จะสามารถให้คำตอบเขาได้เกี่ยวกับการจัดช่วงเวลาออกอากาศ หรือการสร้างเสริมการรู้เท่าทันสื่ออย่างจริงจังเสียที
ต้องสร้างกระบวนการรู้เท่าทัน
อัญญาอร เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาการทำงานของเครือข่ายฯ เพื่อเรียกร้องให้สื่อมีจริยธรรม และมีขอบเขตในการนำเสนอนั้นยากลำบากมาก เนื่องจากสื่อมวลชนทุกแขนงต่างก็มีเครือข่ายผู้มีอิทธิพล หรือมีกลุ่มทุนใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้หลายครั้งชื่อและนามสกุลถูกโพสต์ลงไปยังอินเทอร์เน็ตเพื่อนำไปประจานและด่าทออย่างหยาบคาย และเขาก็พอรู้ว่ากลุ่มทุน และผู้ผลิตสื่อมวลชนหลายแห่งเริ่มจับตามองเขาในฐานะของผู้ที่ขวางช่องทางการทำเงินเช่นเดียวกัน
“แต่ประสบการณ์การทำงาน 5 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายฯ เราก็มีตัวตนมากขึ้น ในการตรวจสอบและเฝ้าระวังสื่อ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราท้วงติงเรื่องบิลบอร์ดขนาดใหญ่สำหรับโฆษณาชุดชั้นในอยู่บนทางด่วน เราจึงร้องเรียนไป ที่สุดแล้วผู้ผลิตเขาก็ยอมปรับแบบ และยังส่งแบบที่ปรับเปลี่ยนแล้วมาให้เราร่วมพิจารณาด้วยว่าจะเอารูปแบบใดดี จากที่ก่อนหน้านี้สื่อมวลชนถือว่าเป็นใหญ่ และอยู่เหนือการควบคุม ตรวจสอบ หรือร้องเรียนจากผู้บริโภคสื่อ” อัญญาอร กล่าว
การเคลื่อนไหวของเครือข่ายในอนาคตนั้น เขาบอกว่า คงไม่ไปไกลถึงขั้นว่าจะต้องออกกฎหมายสำหรับควบคุมหรือเฝ้าระวังสื่อ เพราะการมีกฎหมายสำหรับควบคุมสื่อนั้นย่อมขัดกับหลักสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนที่ควรจะมีเต็มเปี่ยม แต่หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ อนาคตของเด็กย่อมหนีไม่พ้นความก้าวร้าว รุนแรง และนำมาสู่ปัญหาอย่างไม่จบสิ้นต่อไป
สิ่งที่เครือข่ายเสนอ 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การออกกฎหมายควบคุมช่วงเวลาออกอากาศของโทรทัศน์ให้ชัดเจนว่ารายการแต่ละรูปแบบใดควรออกอากาศเวลาไหน และบังคับใช้สัญลักษณ์กำกับเรตติ้งอย่างเคร่งครัด และ 2.การรวบรวมเสียงของประชาชนเพื่อนำไปสู่การเสนอกฎหมายต่อรัฐสภาภายใต้ชื่อ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยให้ พ.ร.บ.ดังกล่าวสนับสนุนผู้ผลิตสื่อที่ดี มีคุณภาพ และความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มการอบรมการรู้เท่าทันสื่อในเด็ก ครู อาจารย์ และผู้ปกครองให้มากขึ้น
“กระบวนการที่เรามุ่งเน้นขณะนี้ก็คือการจัดอบรมเครือข่ายผู้ปกครองที่มีอยู่ให้รู้จักจำแนกประเภทของสื่อ และรู้กระบวนการประกอบสร้างความจริงภายในโลกมายา ว่าไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพื่อนำไปถ่ายทอดให้กับครอบครัวต่อไป ซึ่งหลักการใหญ่ที่ครอบครัวต้องสอนเด็กก็คือ ต้องให้รู้จักแยกแยะว่าอะไรคือความจริง และอะไรคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่พ่อแม่รู้เท่าทันมากขึ้น ก็จะผนึกกำลังเป็นเครือข่ายต่อไป และในที่สุดก็จะสามารถสร้างอำนาจต่อรองให้ผู้ผลิตสื่อคำนึงถึงผู้รับสื่อที่เป็นเด็กได้มากขึ้นตามไปด้วย” อัญญาอร สรุป
ในท่ามกลางยุคตกต่ำเสื่อมทรามของสื่อแทบทุกประเภทจนไม่อาจเป็นที่ไว้วางใจ สิ่งเดียวที่ประชาชนพอจะทำได้ คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองด้วยการหยุดเสพสื่อมอมเมาทุกชนิด เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป


