ก่อนถึงเที่ยงวัน เสื้อแดงแกว่งภายใน บีบพื้นที่นายใหญ่ บล็อกแกนนำ
ถึงแม้ฉากหน้าของแกนนำจะแสดงพฤติกรรมให้เห็นถึงความฮึกเหิมมั่นใจล้มรัฐบาลได้สามวันเจ็ดวัน แต่ฉากหลังรับรู้กันแล้วว่า เมื่อนายใหญ่ยังไร้ถิ่นย่อมมีผลต่อการเรียกความมั่นใจในการเดินเกมรุก
ถึงแม้ฉากหน้าของแกนนำจะแสดงพฤติกรรมให้เห็นถึงความฮึกเหิมมั่นใจล้มรัฐบาลได้สามวันเจ็ดวัน แต่ฉากหลังรับรู้กันแล้วว่า เมื่อนายใหญ่ยังไร้ถิ่นย่อมมีผลต่อการเรียกความมั่นใจในการเดินเกมรุก
โดย ทีมข่าวการเมือง
วาทะโหมกระพือของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.จนถึงวันนี้ ด้วยการบีบรัฐบาลยุบสภา ถ้าหากไม่ยอมตามข้อเรียกร้องภายในเที่ยงของวันที่ 15 มี.ค. จะยกระดับการเคลื่อนไหวเข้มข้นขึ้น ทำเอาหลายฝ่ายวาดภาพ ถ้ารัฐบาลยืนกรานไม่สนเสียงเรียกร้อง ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเดินเกมยื้อยาว มีหวังประเทศไทยตกอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัวต่อไป
ยิ่งยื้อ ยิ่งลากยาว ไม่ใช่เฉพาะประเทศอยู่ในความอึมครึม แต่ลึกๆแล้ว กระบวนการเคลื่อนไหวภายในแกนนำก็มีความอึมครึมยิ่งกว่า
อาการแกว่งภายในหมู่แกนนำ ส่งสัญญาณมานับแต่ก่อนตัดสินใจชุมนุมใหญ่ หลายคนเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับวันเวลาชุมนุมใหญ่ หลายคนรวนเรการบุกครั้งนี้จะชนะหรือไม่ หลายคนหวั่นวิตกว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้าย จะเป็นการปิดฉากอนาคตทางการเคลื่อนไหว แต่ในที่สุดจำต้องตัดสินใจเพราะคำสั่งนายใหญ่สั่งปิดเกม
ปฏิบัติการ ตั้งแต่การโหมโรงวันแรกมีสัญญาณไม่สู้ดีส่งถ่ายออกมา ผลการชุมนุมจุดต่างๆในกทม. แม้แกนนำเสื้อแดงจะออกมาโพทนาประสบความสำเร็จ แต่ลึกๆแล้วไม่ใช่ซุ่มเสียงในคีย์เดียวกัน บนข้อเท็จจริง แกนนำบางราย มองว่า มีผู้คนมาร่วมแสดงพลังน้อยกว่าที่คิด แกนนำบางรายออกอาการผวาตกใจกับปฏิกิริยาคนกรุงเทพส่วนใหญ่ปฏิเสธการเคลื่อนไหว ยิ่งเจอสภาพแดงทำร้ายคนเสื้อชมพูที่จ.ปทุมธานี ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์หราสะเทือนใจผู้พบเห็น ประจานกับแนวทางเคลื่อนไหวที่พร่ำบ่นเสมอต้องการยึดสันติวิธี ไม่เน้นความรุนแรง แม้แต่ จตุพร พรหมพันธ์ ยังยอมรับเหตุการณ์คนเสื้อแดงชกต่อยคนใส่เสื้อชมพู กระทบภาพใหญ่คนเสื้อแดงเสียหายได้
แค่การเริ่มต้นไม่สวยหรูอย่างที่คิด
อีกประการของความไม่ปกติ โดยหลักของวันตีฆ้องออกศึก ก่อนแกนนำจะประกาศให้ทัพแดงสลายกลับไปพักผ่อน ควรจะโหมปลุกเร้าอารมณ์เล็กน้อย ทว่าผิดคาด ไม่มีเสียงจากนายใหญ่ออกมาปลุกขวัญกำลังใจ ท่ามกลางความฉงนสงสัย ไฉนคลื่นดาวเทียมถึงไม่ถ่ายทอดกลับมาเมืองไทย
ไม่แปลกที่จู่ๆมีข่าวจากกระทรวงต่างประเทศ เปิดเผย รัฐบาลยูเออี อัญเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นประเทศ เพราะผิดข้อตกลงที่เคยรับรู้กันว่า ให้อยู่ได้แต่ห้ามใช้เป็นฐานการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เมื่อประจักษ์ชัด พ.ต.ท.ทักษิณกำลังปลุกระดมป่วนเมือง จึงเข้าล็อคต้องออกนอกประเทศ เจอเกมนี้ทักษิณตั้งตัวไม่ติด ตระเวนหาฐานที่มั่นชั่วคราว เพื่อเตรียมส่งคลื่นปลุกเร้าเผด็จศึกรัฐบาล แต่ในเมื่อไม่พร้อมก็ต้องล้มแผน
ไม่น่าเชื่อสถานการณ์กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่การติดต่อจากทักษิณทุลักทุเล
แม้แต่วันที่ 13 มี.ค. เมื่อมวลชนเข้ายึดราชดำเนิน ควรจะมีความยิ่งใหญ่ผ่านวีดีโอลิงก์แต่ในที่สุดกลายเป็นรายการโฟนอินและเนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นการโต้ข่าวรัฐบาลยังอยู่ในยูเออี “ ผมไม่ได้โดนยูเออีให้ออกประเทศ แค่กำลังเตรียมตัวไปยุโรปหาบุตรสาว “
คำชี้แจงที่ออกมา สะท้อนถึงความปั่นป่วนในจิตใจ หวั่นไหวต่อการหาถิ่นที่อยู่ มีผลบกระทบต่อการปลุกระดม ถึงแม้ว่าคืนวันที่ 14 มี.ค. จะสามารถตั้งหลักถ่ายทอดวีดีโอลิงก์มาได้แต่ ถ้าพิเคราะห์ถึงการถ่ายทอด พบว่า ติดๆขัดๆ ห้องถ่ายทอดเหมือนอยู่ในโรงแรมเล็กๆ ไม่ใช่สถานที่ในประเทศยูเออี ท่ามกลางกระแสข่าวหลบเข้ามาอยู่แถวชายแดนกัมพูชา
ซึ่งยิ่งใกล้ประเทศไทยมากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อทักษิณเท่านั้น
ถึงแม้ฉากหน้าของแกนนำจะแสดงพฤติกรรมให้เห็นถึงความฮึกเหิมมั่นใจล้มรัฐบาลได้สามวัน เจ็ดวัน แต่ฉากหลังรับรู้กันแล้วว่า เมื่อนายใหญ่พะวงต่อการตั่งศูนย์บัญชาการ ไร้ถิ่น ย่อมมีผลต่อการเรียกความมั่นใจในการเดินเกมรุกต่อ อย่าลืมจะล้มรัฐบาลวันเดียวหรือยืดเยื้อ นายใหญ่คนเดียวเท่านั้นที่จะชี้ทิศทางมวลชน
สภาพกรุงเทพ กลายเป็นลาวาสีแดงเต็มท้องถนนช่างเป็นภาพตื่นตายิ่ง แต่เหนืออื่นใดท่ามกลางปริมาณมวลชนทำให้บางฝ่ายมองว่าเป็นเพียงสีสันต์ทางการเมือง ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
หากใครมองว่านี่คือการต่อสู้ทางการเมือง อาจถูกครึ่งเดียว เพราะอีกด้านหนึ่งจากฝ่ายรัฐ มองว่า นี่คือการต่อสู้ภัยความมั่นคง ไม่แปลกใจ ที่รัฐงัดแผนความมั่นคงมากมายออกมาดำเนินการ ปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนถูกนำมาใช้ ทั้งมอบความปรารถนาดีเอาน้ำเย็นเข้าลูบคนอีสาน อำนวยความสะดวกหาพื้นที่จอดรถ บริการรถรับส่งผู้ชุมุนม อลุ้มอล่วยไม่ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ปล่อยให้แหกด่านเข้าประชิดถึงพื้นที่ภายในกทม.
จัดหา น้ำดื่ม ยารักษาโรคดูแลอย่างดี
??? เหตุทำเช่นนี้เพราะอะไร คำตอบมาจากหลักการต่อสู้ภัยความมั่นคง ไม่ใช่เล็งแต่วิธีสลายการชุมนุมแต่ต้องตัดชนวนใหญ่การเคลื่อนไหวเสียก่อน
ปริมาณอาจเป็นปัจจัยสำคัญตามสายตามุมมองต่างประเทศที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ปริมาณอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในมุมมองของการแก้ไขปัญหาความมั่นคง สิ่งที่ฝ่ายมั่นคงวางหลักไว้ เมื่อเป้าหมายใหญ่ถูกสกัดการขับเคลื่อนพลังมวลชนจะเสียศูนย์
ไม่แปลก จึงมีหมายศาลตามจับ “กีร์ ระเบิดขวด” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ไม่แปลกพ.ต.ท.ทักษิณถูกบีบพื้นที่ให้เหลือน้อยลง นานาชาติแหยงที่จะให้ถิ่นพำนักตั้งจานดาวเทียมมาหามวลชน แม้แต่ทูตเยอรมันก็ออกมายืนยันเพื่อสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย หากพบอดีตนายกฯติดคดี จะตะเพิดทันที ยิ่งส่งสัญญาณถึงประเทศอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยบีบพื้นที่พ.ต.ท.ทักษิณไปในตัว
ตัวชูโรงถูกบล็อก ลูกน้องถูกดำเนินคดี ยิ่งโอกาสบีบยุบสภาไม่เป็นผล โมเมนตัมย้อนกลับไปกดดันอารมณ์เสื้อแดงให้พลุ้งพล่าง เป็นโอกาสให้รัฐโหมจิตวิทยามวลชน ยึดพื้นที่สื่อ สร้างความเข้าใจอันดีให้สังคม สร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
ข้อวิจารณ์ว่ารัฐบาลรับเกินไป แต่แท้ที่จริงเป็นการตั้งรับให้มวลชนอ่อนแรงก่อนขยับเกมรุก ใช้ความได้เปรียบทลายความไม่ปกติของเสื้อแดง เพื่อหาทางสร้างความปกติให้บ้านเมือง


