พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโตขุนโจรผู้เป็นพระอริยบุคคล (3)
หลวงปู่ตื้อสั่งสอนอบรมจนอดีตขุนโจรผู้นั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคลแต่เรื่องราวของพระอริยบุคคลท่านนี้ไม่ใคร่แพร่หลายมากนัก
โดย...คุณสลิต
หลวงปู่ตื้อสั่งสอนอบรมจนอดีตขุนโจรผู้นั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคลแต่เรื่องราวของพระอริยบุคคลท่านนี้ไม่ใคร่แพร่หลายมากนัก
เท่าที่ตรวจสอบพบว่า นานมาแล้วกองบรรณาธิการหนังสือพบโลกเคยสัมภาษณ์ท่านไว้ครั้งหนึ่ง ต่อมาศิษย์วัดป่าผาลาด ต.วังดัง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพำนักอยู่กระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ได้จัดทำหนังสือประวัติพระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโตหรือ อดีต“ขุนโจรอิสไมล์แอ”ขึ้นเผยแผ่เมื่อปี 2551 แต่ก็อยู่ในวงจำกัดและเป็นหนังสือหายาก ต่อมาศิษย์วัดป่าผาลาด จึงได้คัดลอกและเรียบเรียงปรับปรุงเนื้อหาดังกล่าวมานำเสนอทาง Blogอีกแต่ก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก
กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ติดต่อขออนุญาตทางวัดนำเนื้อหาดังกล่าวมาเผยแผ่ แบบมิได้เรียบเรียงใหม่ โดยมุ่งหวังให้เรื่องราวนี้ได้เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน จะได้เป็น
ความรู้เป็นกำลังใจและก่อให้เกิดสติปัญญาแก่สาธุชนผู้สนใจซึ่งทางวัดได้อนุญาตเรียบร้อยแล้ว“คาบใบลานผ่านลานพระ”ได้นำเสนอเนื้อหานี้อย่างละเอียดต่อเนื่องมาสองตอนแล้ว และสัปดาห์นี้จะเป็นตอนสุดท้าย โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้...
ปฏิปทาที่มั่นคง
ท่านพระอาจารย์ไปพักอยู่ที่วัดเกาะกระทิง นั่งกรรมฐานที่เรียกว่า นั่งหนัก คือนั่งติดต่อกัน 1 เดือนเต็ม เนื่องจากท่านเป็นพระที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจปฏิบัติเหมือนกับหลวงปู่ตื้อ พระอาจารย์ของท่าน พอออกจากกรรมฐานท่านก็หมดแรง ชาวบ้านหามท่านไปส่งโรงพยาบาล
หลังจากนั้นท่านไปปฏิบัติธรรมที่พระธาตุเขาน้อย ไปฉันเห็ดชนิดหนึ่งดอกสีม่วง ซึ่งมีพิษ เร่าร้อนแทบจะปางตาย ถึงกับฟันหลุดไป 14-15 ซีก ในป่าดงไม่มียาอะไร จึงใช้วิธีดูดพิษออกโดยให้โยมชาวบ้านช่วยกันขุดหลุมฝังตัวท่านลงไป เอาดินกลบเหลือเพียงช่องหายใจเท่านั้น
วิธีใช้ไอดินดูดพิษนี้ใช้เวลาถูกพิษ เช่น งูกัด เสือกัด เขาเอาแผลที่ถูกกัดฝังให้ไอดินดูดแก้พิษได
ถ้าโดนเสือกัดและรอดตายมาได้ พิษของการถูกเสือกัดนั้นร้ายแรงเหมือนสุนัขบ้าทำให้คลั่งลงตะกุยดิน คนที่เข้าป่าจึงควรรู้จักต้นกลอยที่เราเอามารับประทานกับข้าวเหนียว หัวกลอยดิบๆ ให้ผู้ถูกเสือกัดกินดิบๆ จะรู้สึกเหมือนกินมันแกวไม่เฝื่อนขื่นแต่อย่างไร ให้กินจนรู้สึกเฝื่อนขึ้นมาจึงเลิกกินพิษเสือจะหายหมด
ถ้าไปถูกงูพิษ เช่น งูเห่ากัด ก็ให้ใช้ต้นอุตพิดเอาหัวมาตำให้แหลกเหยาะเหล้าโรงสัก 3-4 หยด คั้นเอาน้ำมากิน เอากากปิดปากแผล แก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ชะงัดนัก
การปลุกเสกพระ
ท่านมาพักกับหลวงตาสินซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำหว้า จ.เพชรบุรี และได้ไปมาหาสู่พระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโตที่วัดหนองน้ำขาว จ.ราชบุรี อยู่เสมอเพราะถูกอัธยาศัยกันเนื่องจากเป็นพระสายเดียวกัน คือสายหลวงปู่มั่นภูริทัตโต
การไปมาหาสู่กันทำให้ท่านพระอาจารย์ประยุทธ ได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ชั้นเถระผู้ใหญ่ ที่แวะมาเยี่ยมเยียนพระมหาปิ่นอยู่เป็นประจำ เช่นหลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่เหรียญเป็นต้น การพบพระเถระเจ้าทั้งหลายทำให้พระอาจารย์ได้อุบายธรรมนำไปเร่งการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งพระอาจารย์มหาปิ่นท่านคิดทำพระสมเด็จเพื่อไว้แจกญาติโยม จึงได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์มานั่งปรก 5-6 รูป รวมทั้งพระอาจารย์ประยุทธด้วย กำหนดให้ทำการปลุกเสกครบ 7 วัน ระหว่างที่ปลุกเสกไม่ทราบพลังจิตของพระรูปไหนทำให้พระเครื่องที่นำมาปลุกเสกใส่ไว้ในบาตรแตกหักไปเกือบครึ่งองค์
การนั่งปลุกเสกถึงวันที่ 3 พระเกจิอาจารย์ที่นิมนต์มาก็ค่อยๆ ถอนสมาธิไป จนวันที่ 4 วันที่ 5 ก็เหลือท่านอาจารย์ประยุทธเพียงท่านเดียว
พอวันที่ 6 ตอนกลางคืนก็ปรากฏความอัศจรรย์บริเวณที่ท่านพระอาจารย์ประยุทธปลุกเสกบังเกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นเห็น ดังนั้นจึงรีบให้สามเณรเข้าไปกระซิบบอกท่านพระอาจารย์ประยุทธว่า พลังเข้าไปเต็มที่แล้วให้ถอนสมาธิได้แล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ครบ 7 วัน กระซิบอยู่เช่นนั้น 2-3 ครั้ง ท่านพระอาจารย์จึงถอนสมาธิออกมา
การปลุกเสกพระครั้งนี้เท่าที่บอกเล่ากันมา ใครได้ไว้ก็เรียกว่าเป็นของดีวิเศษจริงและเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่พระอาจารย์ประยุทธได้ทำ
ท่านพระอาจารย์ประยุทธเป็นคนพูดจาโผงผางท่าทางเป็นนักเลงคล้ายคลึงหลวงปู่ตื้อ แต่โดยแท้จริงมีความอ่อนโยนนุ่มนวลประกอบด้วยเมตตาสูงชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความลำบาก ท่านผู้รู้หลายท่านว่าอุปนิสัยใจคอของคนเราเป็นสิ่งที่ติดตามเนื่องกันมาแต่อดีตชาติลบล้างเปลี่ยนแปลงไม่ได้
แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีข้อให้ติได้ อย่างพระสารีบุตรมหาเถระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ทรงปัญญาล้ำเลิศและได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะทางปัญญา เวลาเดินทางข้ามร่องน้ำท่านก็ทำท่าทางอย่างลิงกระโดดข้ามไปไม่เป็นสมณสารูป พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าอย่าติเลยของติดมาแต่อดีตชาติเพราะเมื่ออดีตชาติท่านเกิดเป็นลิง
ดังนั้น การมองคนต้องมองให้ลึกซึ้งถึงจิตใจของท่าน อย่างมองแค่ท่าทางกิริยาภายนอก จิตของท่านพระสารีบุตรก็ดี ของท่านพระอาจารย์ประยุทธก็ดี ย่อมเป็นจิตใจที่งดงาม สะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์ ยากที่คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าใจได้
อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง
มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่มีโอกาสรู้จักพระอาจารย์ประยุทธเป็นครั้งแรก ได้เล่าว่าตอนนั้นอยู่ที่บ้านเก่าหลังหนึ่ง มีเนื้อที่ 2 ไร่ รอบบ้านที่ปลูกก็ตกราคา 3 ล้านในขณะนั้น แต่เป็นย่านที่มีขโมยชุกชุมเดือดร้อนเรื่องของหาย จึงได้กราบให้ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นทราบ เพราะเคารพนับถือกันมานาน ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นก็บอกว่า“ต้องพึ่งพระอาจารย์ประยุทธท่าน เพราะท่านมีฤทธิ์ขลังอาจป้องกันได้”
ขณะนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธก็อยู่ในวัดด้วย ท่านนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ เธอก็ได้เข้าไปกราบท่าน บอกท่านว่า“อยากจะขอนิมนต์ท่านไปที่บ้าน ขโมยมันชุมนักจะทำอย่างไรดี”
พระอาจารย์ประยุทธนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า“อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง”
สุภาพสตรีท่านนี้ก็งง ทำไมท่านพระอาจารย์พูดอย่างนั้นเมื่อท่านไม่ยอมไป เธอก็กราบลาท่าน
อีก 3 เดือนต่อมา มีงานที่วัดหนองน้ำขาว สตรีท่านนี้ได้ไปร่วมงานด้วยและได้มีโอกาสถามท่านพระอาจารย์มหาปิ่นว่า“ไหนท่านว่าพระอาจารย์จะนิมนต์ท่านอาจารย์ประยุทธให้ดิฉัน”
ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นหัวเราะและบอกว่า“เดี๋ยวคงมา”แต่เมื่อพระอาจารย์ประยุทธมาถึงก็ไม่ได้ขึ้นมาบนศาลา ท่านเลยไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ห่างออกไป
สุภาพสตรีท่านนี้จึงได้ลองนิมนต์ท่านอีกที จึงกราบท่านและนิมนต์ท่านไปที่บ้าน คำตอบก็เหมือนเดิมคือ“อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง”ทำให้เธอหมดศรัทธาที่จะนิมนต์เสียแล้ว
สักพักใหญ่ๆ ประมาณบ่าย 4 โมงเย็น ก็เห็นพระอาจารย์ประยุทธให้เด็กถือบริขารมีบาตรและกลดเดินเข้ามาหาบอกว่า“จะนิมนต์ไปบ้าน ก็ไปเสียแต่ต้องกลับมาให้ทันสวดมนต์เย็นเวลา 6 โมงนะ”เธอก็นิมนต์ท่านขึ้นรถและมีคนมาเป็นเพื่อนด้วย ขับรถมาถึงเขตนครชัยศรี ยางหน้าก็แบนลงจำเป็นต้องเปลี่ยนยาง แต่ยางอะไหล่ก็ไม่มีไม่รู้จะทำอะไร ท่านพระอาจารย์ประยุทธนั่งหลับตาอยู่ข้างหลัง ท่านก็บอกว่าขับต่อไปเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เธอก็ขับต่อไป น่าอัศจรรย์ ยางที่แบนกลับพองขึ้นและวิ่งได้สบายจนถึงบ้านได้
รู้ล่วงหน้า
ท่านพระอาจารย์ประยุทธทำน้ำมนต์กันขโมยให้แล้ว ท่านเจ้าของบ้านจะพาท่านกลับไปวัดหนองน้ำขาวตามที่ได้ให้สัญญาไว้ แต่ยางก็แบนอย่างเดิมหาคนมาช่วยเปลี่ยนไม่ได้ จึงเรียนท่านไปว่า“เห็นจะต้องกลับรถแท็กซี่เสียแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันสวดมนต์”
ท่านพระอาจารย์บอกว่า“ท่านเป็นพระบ้านนอกขี้เห่อ นั่งรถป้ายเหลืองไม่ได้หรอกต้องนั่งรถป้ายดำ”
ท่านเจ้าของบ้านตอบว่า“ดิฉันไม่รู้จะไปเอารถที่ไหนตอนนี้”
ท่านพระอาจารย์ว่า“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มีรถป้ายดำมารับเอง”
ท่านพูดไม่กี่นาทีก็มีรถเลี้ยวเข้ามาในบ้านอย่างไม่คาดฝัน เป็นรถน้องชายเจ้าของบ้าน เขาก็อาสาไปส่งท่านพระอาจารย์
อีก 3-4 เดือนต่อมา สุภาพสตรีท่านนี้ได้นิมนต์พระอาจารย์ประยุทธและอาจารย์เรือง ขณะได้นั่งสนทนากันจึงได้เล่าเรื่องให้ท่านพระอาจารย์ฟังว่า มีคนมาขอยืมเงินหายไปเป็นปีไม่ได้ข่าวเลย สักพักท่านพระอาจารย์ก็ได้ให้หาดอกไม้ 7 สีมาให้ ขณะนั้นใกล้ 4 ทุ่มแล้วไม่รู้จะไปหาซื้อดอกไม้ที่ไหน จึงหาดอกไม้ในบริเวณบ้านแต่คิดว่ามีไม่ครบ 7 สี ท่านพระอาจารย์ก็บอกว่ามีครบ ให้พาเด็กๆ ไปช่วยกันหามาก็ได้ครบ 7 สี เอาขันน้ำมนต์ใส่น้ำมาตั้งที่หน้าท่าน จุดธูปเทียนแล้ว ท่านอาจารย์ก็หยิบดอกไม้มากรีดและเด็ดทีละกลีบใส่ลงในขันน้ำมนต์ ท่าทางการเด็ดกลีบดอกไม้นั้นประณีตนุ่มนวลมาก ท่านเด็ดจนหมดดอกแล้วท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรเขาจะเอาเงิน 4 หมื่นมาคืนเอง สุภาพสตรีท่านนั้นก็ได้พบกับความประหลาดในเมื่อลูกหนี้ที่หายไปเป็นปี อีก 2 วันต่อมา ก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกอยู่หน้าบ้านแต่เช้า ลูกหนี้คนนั้นนั่นเอง เขาขอโทษขอโพยแล้วเอาเงินมาคืนให้อย่างครบถ้วน
อิทธิฤทธิ์ของท่านพระอาจารย์ประยุทธ
คุณสุภาพสตรีท่านนี้ ท่านได้สร้างเรือนร้างไว้ริมรั้วในเนื้อที่ 2 ไร่ในบริเวณบ้านเก่าของท่าน เพื่อให้พระปฏิบัติที่เคารพนับถือที่ได้เดินทางมาเยี่ยมหรือเดินทางมาจากต่างจังหวัดและไม่สามารถกลับวัดได้ทันหรือมีกิจที่ต้องค้าง ก็จะนิมนต์ให้ท่านค้างที่เรือนว่างแห่งนั้น บังเอิญตอนนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธท่านมาค้าง ลูกๆ หลานๆ ของเจ้าของบ้านขอจัดเลี้ยงรุ่นพอดี คุณสุภาพสตรีท่านนั้นก็กำชับว่าอย่าส่งเสียงดังมากไปจนรบกวนหลวงพ่อท่าน และได้เรียนพระอาจารย์ให้ทราบ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า“เด็กเขาจะสนุกกันก็ช่างเขาเถอะ ไม่รบกวนอะไรหรอก”
การเลี้ยงรุ่นของเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เสียงเพลง เสียงดนตรี การยั่วเย้าเฮฮากันตามวิสัยของเขา ขณะที่มองไปริมรั้วท่านอาจารย์ประยุทธก็นั่งสมาธิแน่วนิ่งอยู่ในเรือนว่าง มองเห็นได้จากหน้าต่างที่เปิดไว้เห็นแสงเทียนที่จุดไว้เพียงเล่มเดียว กระจายแสงฉาบไล้อยู่ที่ใบหน้าและกายของท่านเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว
เมื่อใกล้จะถึงเวลา 24.00 น. เพลงได้หยุดลงแล้วและมีเด็กคนหนึ่งได้มองไปที่เรือนร้างผ่านหน้าต่างเรือนว่างนั้น เห็นดวงไฟใหญ่เท่าบาตรเกือบเป็นวงกลมลอยขึ้นจากเทียนที่ท่านจุดไว้ แสงสุกปลั่งเจิดจ้าลอยขึ้นสู่เพดานลูกแล้วลูกเล่า เมื่อต่างสะกิดกันให้ดูก็พากันตะลึงไปตามๆ กัน และคิดกันว่าลูกไฟเกิดจากอะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนสงสัยพากันย่องไปใกล้ๆ ก็เห็นแต่เทียนที่ท่านจุดไว้เพียงเล่มเดียว ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เกิดลูกไฟเช่นนี้ได้
ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เด็กๆ เกือบ 20 คน ได้พากันนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าต่างแล้วนมัสการกราบลงขอความเป็นสิริมงคล เมื่อมีผู้ถามท่านพระอาจารย์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านอธิบายว่าท่านไม่ได้ทำอะไร มันเกิดขึ้นเองอาจจะเป็นพลังอำนาจของจิตก็ได้
รู้วันและสถานที่มรณภาพของท่านเอง
ญาติโยมที่ได้มีโอกาสกราบคารวะหรือปฏิบัติธรรมหลายท่านยืนยันตรงกันว่า“เมื่อปี พ.ศ. 2519 ท่านบอกให้รู้ว่า วัดป่าผาลาดจะเป็นสถานที่มรณะของท่าน และท่านจะมรณภาพในปี พ.ศ. 2522”แสดงว่าท่านรู้วันตายล่วงหน้าถึง 3 ปี เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงๆ
ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็ปฏิบัติเหมือนเดิม คือเมื่อเข้าทำกรรมฐานก็จะสั่งญาติโยมที่เคยใส่บาตรว่า ไม่ต้องเตรียมอาหารบิณฑบาตสำหรับท่าน เพราะจะเข้ากรรมฐาน ออกจากกรรมฐานเมื่อไหร่จะบอก ซึ่งชาวบ้านถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ท่านปฏิบัติเช่นนี้ประจำ
ช่วงแรกท่านเข้ากรรมฐานอยู่ 7 วัน จึงถอนออกจากสมาธิ เมื่อฉันอาหารบิณฑบาตอยู่ 2-3 วัน แล้วท่านก็เข้าทำกรรมฐานอีก จนเวลาผ่านไป 7 วัน ลูกชายของโยมอุปัฏฐากที่คอยดูแล
ท่านมาที่กุฏิ ปรากฏว่าที่พื้นซีเมนต์ใต้ถุนกุฏิมีน้ำไหลนองมีกลิ่นเหม็น ดูแล้วว่าเป็นน้ำเหลืองที่ไหลออกมาตรงกับที่ท่านนั่งกรรมฐานพอดี จึงขึ้นไปเปิดประตูกุฏิดูให้แน่ใจ ก็พบว่าท่านนั่งสมาธิอยู่ แต่สบงจีวรเปียกชุ่ม ร่างกายขึ้นอืดบวม จึงรู้ว่าท่านมรณภาพในสมาธิเสียแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าภายใน 7 วัน ที่ท่านนั่งกรรมฐาน ท่านได้หมดลมปราณวันไหน เวลาเท่าไหร่
ชาวบ้านจึงได้มาช่วยกันจัดการซากอสุภะของท่าน และได้โทรเลขไปแจ้งน้องสาวของท่าน ญาติพี่น้องเห็นว่าการฌาปนกิจท่านที่วัดป่าผาลาดลำบากยุ่งยาก เพราะอยู่บนภูเขาขึ้นลงไม่สะดวก จึงรับศพท่านเข้ากรุงเทพฯ ไว้ที่วัดมะกอก ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎ บำเพ็ญกุศลอยู่ 3 วัน จึงได้ประชุมเพลิง
อัฐิเป็นพระธาตุ
เมื่อเก็บอัฐิท่าน ญาติพี่น้องก็สะดุดใจว่า อัฐิของท่านช่างขาวสะอาดเหมือนดอกมะลิ แต่ไม่มีใครคิดอะไรมากกว่านั้น เพียงเอาอัฐิห่อผ้าขาวใส่พาน นำมาเก็บไว้ที่กุฏิที่ท่านมรณภาพที่วัดป่าผาลาด
เวลาผ่านไป 2 ปีเศษ โยมญาติพี่น้องได้จัดหาโกศมาบรรจุอัฐิธาตุของท่าน เมื่อแก้ห่อผ้าอัฐิออก อัฐิที่เคยเห็นเป็นสีขาวเหมือนดอกมะลิ กลายเป็นอัฐิธาตุก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ เป็นแก้วใสบริสุทธิ์บ้าง มีสีขาว สีเขียว สีแดง สีเหลือง เป็นที่แปลกใจไปตามๆ กัน แต่ก็แสดงว่ากระดูกของท่านได้กลายเป็นพระธาตุอย่างแน่นอน
ตามความเชื่อของชาวพุทธ หมายความว่า ท่านผู้ใดกระดูกกลายเป็นพระธาตุ ท่านผู้นั้นได้มีจิตวิญญาณบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว คือไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
พระธาตุอรหันต์ในยุคปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เกิดได้โดยง่าย ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในโลกมนุษย์ หรือพรหมโลกชั้นสุทธาวาส จะต้องบากบั่นพากเพียรพยายามปฏิบัติธรรมอย่างเสี่ยงตายถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้ากันทีเดียว พระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ต้องสร้างบารมีไม่น้อยกว่า 4 แสนกัป ส่วนอรหันต์สาวก ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย 1 แสนกัป การได้กราบไหว้บูชาด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสต่อพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกก็ดี ย่อมเป็นวาสนาบารมีอันใหญ่หลวงของผู้บูชา ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงสถูปบรรจุอัฐิธาตุของบุคคล 4 ประการเอาไว้
1.สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของตถาคตอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
2.สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระปัจเจกพุทธเจ้า
3.สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระอรหันต์
4.สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระเจ้ามหาจักรพรรดิ
บุคคลพิเศษนี้เป็นที่ไหว้สักการบูชา ใครกราบสักการบูชาด้วยจิตใจที่เลื่อมใส ย่อมเป็นปัจจัยให้สัตว์เกิดในสุคติโลกสวรรค์ ตามกำลังเลื่อมใสในจิตของตน


