posttoday

สถาบันการเมือง

29 มิถุนายน 2555

โดย...นครินทร์

โดย...นครินทร์

ความเป็นสถาบันทางการเมืองเป็นแนวคิดและเครื่องมือที่ใช้ศึกษาวิจัย รวมทั้งใช้ในการบ่งชี้วัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในทางการเมืองในสังคม หรือในประเทศหนึ่งๆ จะมีความคงทน หรือมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไปหรือไม่ ในลักษณะใดและด้วยเหตุปัจจัยใด

ในกรณีของสังคมไทย การที่ประเทศไทยมีการใช้รัฐธรรมนูญเปลือง คือมีการใช้รัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมากมาแล้วถึง 18 ฉบับ ก็เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่บ่งบอก หรือสะท้อนว่ารัฐธรรมนูญไทยมีความเป็นสถาบันการเมืองที่ค่อนข้างต่ำ หรืออยู่ในระดับต่ำ เพราะว่าเรามีนิสัยใจคอที่ชอบเปลี่ยนแปลง (จะด้วยเหตุใดก็ตาม) รัฐธรรมนูญกันเป็นว่าเล่น

ความต่อเนื่องของรัฐธรรมนูญนี้เป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งคนไทยโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นนำที่มีอำนาจในแต่ละช่วงเวลา มีความคิดและเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าตนเอง หรือฝ่ายตนเองมีกำลังความสามารถเพียงพอที่จะสถาปนารัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่จริงแท้ และมีความสมบูรณ์ขึ้นมาได้

รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่จริงแท้และสมบูรณ์ตามความเชื่อนั้น เมื่อเขียนและสถาปนา หรือประกาศขึ้นแล้ว ก็จะมีความถูกต้อง เที่ยงธรรม ยุติธรรม ซึ่งจะดำรงอยู่ต่อไปชั่วนิจนิรันดร์

ฐานความคิดและคติดังกล่าวข้างต้น ซึ่งในอันที่จริงมีลักษณะอุดมการณ์คล้ายศาสนา เป็นปัญหาอย่างยิ่งในความคิดของผู้เขียน เพราะรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่รัฐธรรมนูญของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็นรัฐธรรมนูญของรัฐ ของประเทศ ของสังคม ฯลฯ ซึ่งเป็น “ส่วนรวม” ของทุกๆ ฝ่าย ทั้งที่อยู่รวมกันเป็นฝ่ายเรา ฝ่ายเขา ฝ่ายมัน ฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ

รัฐธรรมนูญ หากมีระดับความเป็นสถาบันที่มาก หรืออยู่ในระดับสูง จึงต้องมีการปรับตัว หรือมีโอกาสได้ปรับตัว ด้วยการปรับปรุง แก้ไข ตัดทอน หรือเพิ่มเติม (Amendment) ฉบับเดิมต่อๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จะด้วยเหตุที่ผู้คนมีความคิดและความต้องการใหม่ๆ หรือมีสภาพของเศรษฐกิจ และสถานะของคนเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม

ในอันที่จริงรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธ.ค. 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก (ซึ่งต่อมาก็เป็นที่ทราบว่าไม่ได้มีความเป็นถาวรแต่อย่างใด) และมีความคาดหวังกันเป็นอย่างสูงว่าจะมีความสถิตสถาพร และวิวัฒน์ต่อไปได้นั้น ในอันที่จริงได้ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปี 2489 หรือใช้มายาวมากที่สุดในบรรดารัฐธรรมนูญทั้งหมด 18 ฉบับของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ความคิด อุดมการณ์การเมือง และความปรารถนาดีที่ต้องการสร้าง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ด้วยการยกเลิกฉบับวันที่ 10 ธ.ค. 2475 และจัดทำฉบับใหม่ปี 2489 นับว่าเป็น “ดาบสองคม” กล่าวคือ การทำให้การเมืองไทยก้าวหน้าไปอีกสองสามก้าว แต่ต้องถอยหลังไปหลายสิบก้าว

ประเด็นปัญหาที่ซ่อนไว้เบื้องหลังก็คือ เป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ฉบับ 2489) โดยบัญญัติให้มีการแก้ไขปัญหาทางการเมืองบางประการของไทยไป ซึ่งสังคมการเมืองยังไม่มีข้อยุติ หรือยังมีข้อพิพาทกันในทางการเมืองอยู่เลย

การมีข้อพิพาทกันในทางการเมือง รวมทั้งการมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันนับเป็นเรื่องธรรมดา ประเด็นปัญหาที่จะซ้ำเติมลงไปคือ ความใจร้อน ต้องการได้เรื่องหนึ่งเรื่องใดอย่างรวดเร็ว ทันอกทันใจของผู้นำคนหนึ่งคนใดและคณะหนึ่งคณะใด นั้นเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ

การรัฐประหาร 2490 เป็นอาการของโรคร้ายนั้น รวมทั้งการรัฐประหารครั้งต่อๆ มา เช่น การรัฐประหาร 2549 ด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญไทยไม่ได้มีโอกาสปรับตัว ซึ่งสอดรับกับอุปนิสัยใจคอของผู้นำไทยเรา ที่ไม่ยอมอดทนกับสถานการณ์และวิกฤตต่างๆ

มิพักกล่าวถึงความใจร้อน ความไม่อดทนกับกฎกติกาให้มีการตรวจสอบโดยศาลและองค์กรต่างๆ ซึ่งเห็นได้ชัดจากพฤติกรรมของพรรคการเมืองและของผู้นำ การเมืองที่โดดเด่นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น การไม่ร่วมประชุมสภา การหลีกเลี่ยงไม่ตอบกระทู้ในสภา การล็อบบี้ศาล ฯลฯ ซึ่งซ้ำเติมชีวิตและโชคชะตาของ “รัฐธรรมนูญ” ของไทยเองโดยตรง

การจะตั้งมั่นอยู่ได้ของรัฐธรรมนูญ จึงต้องอาศัยและพึ่งพิงอุปนิสัยใจคอของผู้นำ ความคิด ฐานคติ วัฒนธรรมการเมือง ฯลฯ ประกอบด้วย ไม่ใช่อาศัยกฎหมายเพียงประการเดียว

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"