สงครามกลางเมืองในสยามเมื่อพ.ศ. 2476
วันนี้ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากนานาชาติทั่วโลกว่าจะวิกฤตขั้นไหน จากการที่กลุ่มชนคนเสื้อแดง ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พากันปิดล้อมตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เรื่อยมา
การปิดล้อมเมืองหลวงครั้งนี้ มิใช่ครั้งแรก หากแต่เคยมีครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2476 ที่มีความรุนแรงจนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมืองมาแล้ว
สงครามกลางเมืองครั้งนั้น เกี่ยวเนื่องกับเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เคยเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2472 สมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาอีก 2 ปีลาออกจากเสนาบดี เพราะขัดแย้งด้านการงบประมาณกับเสนาบดีท่านอื่น จากนั้นกลายเป็นนายทหารนอกราชการ
การที่ทรงลาออกจากเสนาบดี เพราะท่านเสียพระพักตร์ (หน้า) เรื่องมีว่าในฐานะเสนาบดีกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบนายทหารที่อยู่ในข่ายเลื่อนยศและเงินเดือน 322 นาย เมื่อพิจารณาแล้ว ได้รับการเลื่อนยศ 231 นาย อีก 91 นาย ไม่ได้รับการเลื่อนยศ เพื่อความเป็นธรรมท่านจึงพิจารณาขึ้นเงินเดือนให้ แต่ถูกขัดขวางจากเสนาบดีท่านอื่น จึงลาออกจากเสนาบดีท่ามกลางการหนักพระทัยของอภิรัฐมนตรี และเสนาบดีอื่นๆ
lพระราชประวัติ
พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นพระโอรสองค์ที่ 2 ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร ต้นราชสกุลกฤดากร พระราชโอรสลำดับที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติ แต่เจ้าจอมมารดากลิ่น (หรือซ่อนกลิ่น) เป็นพระองค์เจ้าเพียงพระองค์เดียวในเจ้าจอมมารดาท่านนี้
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ จะทรงเรียนภาษาอังกฤษเก่งมาแต่ยังทรงพระเยาว์ และเมื่อถึงรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จออกไปเป็นราชทูตประจำกรุงอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ควบกัน ขณะเสด็จไปเป็นราชทูต ทรงมีพระโอรส 4 พระองค์ เสด็จไปด้วยกัน พร้อมหม่อมแม่ คือ ม.จ.จรูญศักดิกฤดากร (พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร) ม.จ.บวรเดช (พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช) ม.จ.เศรษฐศิริ และ ม.จ.สิทธิพร เสด็จอยู่เมืองนอกเกือบ 4 ปี ก็เสด็จกลับมาบังคับการกรมพระนครบาล (ภายหลังเป็นกระทรวงนครบาล และทรงเป็นเสนาบดี)
เมื่อทรงลาออกจากเสนาบดี เป็นนายทหารนอกราชการ ก็คงติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองแม้หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงไม่พอใจกับการที่คณะราษฎร์จะนำเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ มาเป็นนโยบายเศรษฐกิจ พร้อมกับนำมาร่วมคณะรัฐมนตรีอีกด้วย ในขณะที่ประชาชนคนธรรมดามีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7
ดังนั้น เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2476 โดยได้รับความร่วมมือจากนายทหารชั้นผู้นำทั้งในหัวเมือง และในเมืองหลวงจำนวนหนึ่ง จึงได้นำกองกำลังทหารจาก จ.นครราชสีมา สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา เข้ามาปิดล้อมกรุงเทพฯ เพื่อบีบบังคับรัฐบาล ที่นำโดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีให้ลาออก
โดยยื่นคำขาดต่อรัฐบาลดังนี้
ข้อ 1 ต้องจัดการทุกอย่างที่จะอำนวยผลให้ประเทศสยามมีพระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วกัลปาวสาน
ข้อ 2 ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญโดยแท้จริง เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การแต่งตั้งถอดถอนคณะรัฐมนตรีต้องเป็นไปตามเสียงคนหมู่มาก ไม่ใช่ทำด้วยการจับอาวุธดังที่แล้วมา โดยเหตุนี้ต้องยอมให้มีคณะ การเมืองที่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 ข้าราชการซึ่งอยู่ในตำแหน่งประจำการทั้งทหาร พลเรือน ต้องอยู่นอกการเมือง
ข้อ 4 การแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งราชการ ต้องถือคุณวุฒิความสามารถเป็นหลัก ไม่ถือเอาความเกี่ยวข้องในทางการเมืองเป็นความชอบ หรือเป็นข้อเกี่ยวข้องในการบรรจุ หรือเลื่อนตำแหน่ง
ข้อ 5 การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ต้องถวายให้พระมหากษัตริย์มีอิสระในการเลือก
ข้อ 6 การจัดกำลังทหารต้องกระจายไป มิให้มีกำลังรวมใหญ่เฉพาะที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
แต่รัฐบาล พ.อ.พระยาพหลไม่ยินยอม จึงส่งกองกำลังผสมที่บังคับบัญชาโดย พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม ไปปราบปราม
ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ อดีต สส.พิษณุโลก หลายสมัย เมื่อครั้งเป็นนายทหารที่พิษณุโลกเคยถูกนายใช้ให้มาสืบเสาะที่กรุงเทพฯ ก่อนว่าฝ่ายไหนชนะก็จะเข้ากับฝ่ายนั้น เขียนในหนังสือเรื่องอยู่อย่างเสือ บันทึกชีวิตนักต่อสู้ทางการเมืองยุคบุกเบิก (พ.ศ. 24752500) โรงพิมพ์นพบุรีการพิมพ์, พ.ศ. 2546 ตอนกบฏปี 76 ตอนหนึ่งว่า
lสงครามกลางเมือง
รูปร่างการรบในวันแรกคือวันที่ 11 ต.ค. 2476 อย่างมากของฝ่ายหัวเมือง ก็เพียงส่งกำลังทหารราบ ทหารม้า มาที่แนวคลองบางเขนแล้วก็มาหยุดนอนนิ่ง ไม่ยิง ไม่รุก ทำให้ฝ่ายรัฐบาลโล่งใจหายวิตกกังวลเพราะแผนของฝ่ายทหารหัวเมืองนั้น ใครๆ ก็รู้ทั่วกันว่า โคราชสระบุรีอยุธยาลพบุรีนครสวรรค์พิษณุโลกปราจีนบุรีราชบุรีเพชรบุรี แม้ที่ในกรุงเทพฯ ก็จะลุกขึ้นสู้รบกับฝ่ายรัฐบาล บัดนี้ ฉากแรกของวันเริ่มรบได้ผ่านไปถึงสองวัน มีแต่พวกทหารบางหรอมแหรมขยายแถวอยู่ตามแนวคลองบางเขนเท่านั้นเอง การที่สั่งตั้งรับไว้ก็เปลี่ยนเป็นการเคลื่อนที่เข้าไปยิง ตั้งแต่รุ่งอรุณของวันที่ 13 ต.ค. เสียงกระหึ่มของปืนใหญ่ฝ่ายรัฐบาลดังซ้อนๆ กันเป็นชุด เหมือนฟ้าคำรามกระหึ่มอยู่ข้างหน้า แสงแปลบปลาบที่พวยพุ่งออกมา ทำให้ทหารฝ่ายหัวเมืองนึกว่าเขาเล็งมาที่ตนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น มีกระสุนไปตกตามแนวคลองหมอกและควันดินปืนกระจายไปตามท้องทุ่ง อำนาจการทำลายไม่สู้มากเพราะน้ำท่วมท้องนาเจิ่ง เสียงหวืดหวือของกระสุนปืนเล็กปืนกลแหวกอากาศน่าสยดสยอง ทางรัฐบาลยิงข้างเดียว เคลื่อนเข้าไปยิงใกล้ๆ ปลอดภัยเหมือนซ้อมรบ
พวกทหารนครราชสีมา เป็นเด็กรุ่นหนุ่ม ฝังตัว ซุกหน้าลงไปในหลุมดิน ด้วยความกลัวสุดประมาณ พวกนายสิบที่ชีวิตแกร่ง อดรนทนไม่ได้ คว้าปืนกลยิงโต้ตอบ ยิงเข้าไปตรงกลุ่มปืนกลข้าศึกที่แลเห็นตะคุ่มๆ กระสุนปืนที่ปลิวมา ห่างลง แล้วก็เงียบไป พวกลูกหลานคุณแม่เห็นนายสิบของตัวอาจหาญ ก็พลอยคึกคะนองขึ้น ดีแล้ว ให้มันเห็นฝีมือพวกเราเสียบ้าง ต่างยิงตอบ กระสุนปืนเล็กปืนกลจากแนวคลองบางเขนเริ่มพรูออกไป พวกรัฐบาลที่รุกกระชั้นเข้ามา กระโดดลงคู หมอบติดพื้นดินเป็นพัลวัน เริ่มแลเห็นสมจริงดังที่คาดไว้ว่า พวกนายทหารหัวเมืองทำอุบาย แกล้งไม่ยิงต่อสู้ในระยะไกล ถ้าขืนไหวไม่ทันดันรุกใกล้เข้าไปคงแย่ อาจเป็นดงระเบิดหรือที่ร้ายกว่านั้น
ทางฝ่ายทหารหัวเมือง แทนที่จะคิดอ่านว่า ควรจะยิงจะรบยังไงจึงจะได้ผลดี กลับมีคำสั่งแหว! ออกมาจากท่านแม่ทัพอย่างเกรี้ยวกราด
“ใครเป็นคนสั่งให้ยิง?” รับสั่งถามอย่างเกรี้ยวกราด รับสั่งถามพร้อมกับให้นายทัพรองเข้าไปค้นหาตัวผู้สั่งยิงให้ได้ ก็ได้ความว่า ไม่มีใครสั่งลูกหลานคุณแม่โมทนให้ถูกยิงข้างเดียวไม่ไหว ก็ซัดเข้าไปให้บ้าง เป็นอันว่าการบัญชาการทัพฝ่ายหัวเมืองนั้น ไม่ได้มีความคิดว่าจะมาสู้รบ หากมาตามแผนที่ว่ายกทัพเข้ามาประชิดติดพระนคร แล้วพวกทหารในกรุงเทพฯ ก็จะลุกฮือขึ้นขับไล่รัฐบาลออกไป ฟังดูไม่เห็นมีทหารในกรุงเทพฯ กองพันไหนลุกฮือขึ้น มีก็แต่กองทัพเรือประกาศตนเป็นกลาง ยกขบวนหนีรัฐบาลไปอยู่ที่บางนา เมื่อเรือรบผ่านสะพานพุทธ ถูกทหารบกเอาปืนกลไปดักยิงตกน้ำตกท่าไปบ้างเท่านั้นlแพ้หนีเอาชีวิตรอด
บัดนี้ทหารในกรุงเทพฯ ที่ว่าจะปราบกันเอง กลายเป็นมาปราบพวกทหารหัวเมืองเสียแล้ว พวกที่มานอนขยายแถวที่คลองบางเขน ขาดเสบียงอาหาร กระสุน อาวุธ ไม่มีใครลำเลียงไปส่งให้ในแนวหน้า แนวที่ประจันกับความตายและความอด เมื่อพวกรัฐบาลรุกออกมา พวกทหารหัวเมืองถอย โดยมีนายทหารวิ่งนำหน้า ทิ้งลูกหลานคุณแม่โมให้ช่วยตัวเองตามยถากรรม ทุกคนมีดวงหน้าที่มีความกลัว ดวงตาลุกโพลง ด้วยความปรารถนาอย่างเดียวหนี เป็นการหนีอย่างเตลิดเปิดเปิง บางคนปืนกับหมวกหาย วิ่งอุ้มทั้งๆ ฝากล่องกระสุนเปิดพะงาบๆ กระติกน้ำเพล่มาอยู่ข้างหลัง ยิ่งหันหลังให้การรบความกลัวก็ยิ่งมากขึ้นอีกหลายเท่า ทหารฝ่ายหัวเมืองที่แนวคลองบางเขนแตกร่นแล้ว รถไฟบรรทุกปืนใหญ่ฝ่ายรัฐบาลแล่นลิ่วออกมากระหน่ำซ้ำเติมชนเข้ากับรถจักรที่ฝ่ายกบฏฝ่ายปล่อยออกไปปะทะ เสียงดังสนั่น ขวัญทหารฝ่ายรัฐบาลไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนกัน หลวงกาจสงคราม หูฉีกบอบช้ำ หลวงอำนวยสงคราม (ถม เกษะโกมล) ร.ท.เจือ ศุกร์นาค สิ้นชีวิต
การสู้รบกันที่ทุ่งบางเขน ปรากฏว่าทหารหัวเมืองแพ้ราบคาบ สงครามกลางเมืองจึงสิ้นสุดลงวันที่ 25 ต.ค. 2476 รุ่งขึ้นวันที่ 26 ต.ค. พลเอกพระองค์เจ้าบวรเดชได้ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศอินโดจีน หรือประเทศเวียดนาม เป็นอันว่ากองกำลังที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลพ่ายแพ้กลายเป็นกบฏ ปัจจุบันเรียกกันว่า กบฏบวรเดช
ต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าชัยชนะของรัฐบาลครั้งนั้นเป็นชัยชนะที่สำคัญ มิเช่นนั้นการปกครองอาจกลับไปในรูปแบบเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ได้ เพื่อรำลึกถึงชัยชนะครั้งนั้นท่านจึงสร้างอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญที่วงเวียนหลักสี่ บางเขน ใกล้กับวัดพระศรีมหาธาตุในปัจจุบัน
ส่วนพลเอกพระองค์เจ้าบวรเดช เสด็จกลับเมืองไทยและสิ้นพระชนม์ชีพ พ.ศ. 2496
เรื่องกบฏบวรเดช หรือสงครามกลางเมือง (Civil War) เป็นเรื่องของคนไทยด้วยกัน แต่มีความเห็นต่างกัน จนกระทั่งถึงกับใช้กำลังเข้าประหัตประหารกัน เกิดมา 77 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันคนไทยยังทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่ จึงไม่อยากเห็นเลือดคนไทยนองแผ่นดิน เก็บชีวิตมีค่าไว้สร้างบารมี และต่อสู้กับผู้ที่รุกรานด้านอื่นจะดีกว่า


