posttoday

นโยบายสายกลางผ่าทางตันเศรษฐกิจ "กรีซ"

08 มิถุนายน 2555

ปัญหาของกรีซถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป

โดย...ปานปรีย์ พหิทธานุกร

ปัญหาของกรีซถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป ซึ่งส่งผลกระทบทั้งการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจของยูโรโซน จนทำให้สถานการณ์ในยุโรปยังคงน่าเป็นห่วงว่าอาจขยายวงกว้างไปทั่วโลกได้

ความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ของกรีซ ซึ่งอยู่ในภาวะไร้รัฐบาลมาระยะหนึ่ง ทำให้คนทั่วโลกกำลังจับตาดูการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 2 ของกรีซ ในวันที่ 17 มิ.ย. 2555 นี้อย่างใกล้ชิด เพราะแนวทางของพรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงแข่งขันกันอย่างเข้มข้นอยู่นี้ มีการชูนโยบายที่ตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจน

พรรคหนึ่งเห็นด้วยกับข้อเสนอของนานาชาติที่ต้องการให้กรีซรัดเข็มขัดรายจ่ายของประเทศลง ส่วนอีกพรรคหนึ่งเห็นตรงกันข้าม คือ ต้องการให้รัฐบาลกรีซเพิ่มรายจ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

Alexis Tsipras ที่อายุเพียง 37 ปี เป็นผู้นำพรรค Syriza ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายของกรีซได้รณรงค์หาเสียงด้วยการชูนโยบาย “ยกเลิก” ข้อตกลงการขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรป (EU) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่รัฐบาลกรีซได้ตกลงขอรับความช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้แล้วกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจ

จากผลสำรวจความคิดเห็น หรือโพล ที่จัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์เอเธนส์ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิ.ย. 2555 พบว่า พรรค Syriza ของ Alexis กำลังมีคะแนนนิยมนำคู่ต่อสู้คือ พรรค New Democracy ที่ถือว่าเป็นพรรคฝ่ายกลางขวาและอยู่ในอำนาจทางการเมืองมายาวนาน

ดังนั้น หากในวันที่ 17 มิ.ย. พรรค Syriza ชนะการเลือกตั้งจริง เราก็อาจเห็นรัฐบาลใหม่ที่นำโดย Alexis ประกาศยกเลิกข้อตกลงการขอรับความช่วยเหลือด้านการเงินจากนานาประเทศ ซึ่งรวมถึงความช่วยเหลือจากธนาคารยุโรป (ECB) และหันมาใช้นโยบายการเงินการคลังที่ตรงกันข้ามกับแนวทางข้อกำหนดของสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป (Economic and Monetary UnionEMU) หรือที่เรามักเรียกกันสั้นๆ ว่า ยูโรโซน (Eurozone) เพราะทาง EMU มีข้อกำหนดที่ต้องการให้รัฐบาลกรีซควบคุมการใช้จ่ายของภาครัฐ (เพื่อป้องกันมิให้เกิดหนี้ใหม่เกินตัว) แต่ทางพรรค Syriza มองว่า หากไม่มีการใช้จ่ายภาครัฐก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในประเทศได้เลย โดยเฉพาะปัญหาเงินสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือคนตกงาน

หากคิดไปไกลกว่านี้ เราก็อาจเห็นรัฐบาลใหม่ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกของยูโรโซน (เพื่อปลดภาระเงื่อนไขที่ต้องยอมรับภายใต้ข้อกำหนดของ EMU) หรือถูกบังคับให้ออก เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EMU ได้ ซึ่งหมายถึงกรีซจะต้องยกเลิกใช้เงินยูโร (Euro) ซึ่งทุกวันนี้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งหมด 17 ประเทศ มีข้อตกลงร่วมกันใช้อยู่

คำถามสำคัญก็คือ ประเทศกรีซพร้อมแล้วหรือยังที่จะออกจากยูโรโซน เพราะหมายถึงกรีซจะต้องประกาศใช้สกุลเงินเดิมที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้คือ “กรีซดรักมาร์” ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นหนทางที่ชัดเจนว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของกรีซมีความเข้มแข็งพอที่จะรองรับสกุลเงินของตัวเองได้เข้มแข็งเทียบเท่าหรือดีกว่าสกุลเงินอื่นๆ ในโลกได้อย่างไร และการลาออกจากยูโรโซนจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะที่มีอยู่ได้หรือไม่

ในช่วงหาเสียงพรรค Syriza ประกาศมาตรการเศรษฐกิจในช่วงตอนหาเสียงไว้มากกว่า 12 มาตรการ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการใช้เงินภาครัฐ การขึ้นค่าจ้าง การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ตกงาน การเก็บรายได้จากการขึ้นภาษีคนรวย ไม่เก็บภาษีคนจน เป็นต้น ก็ดูเป็นนโยบายที่น่าจะโดนใจประชาชนส่วนใหญ่ แต่พิจารณาแล้วก็ดูขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ว่า “แล้วรัฐบาลจะหาเงินมาจากไหน” และจะสามารถดำเนินการได้อย่างไรในสภาพที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

หากรัฐบาลใหม่ไปไกลขนาดที่จะต้องทำตามสัญญาประชาคมด้วยออกจากยูโรโซน (หรือถูกบังคับให้ออกก็ตาม) เศรษฐกิจของกรีซจะได้รับผลกระทบอย่างไร ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ประชาชนชาวกรีซต้องการให้รัฐบาลนำมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจมาเป็นแนวทางในการแก้ไข แต่ในขณะเดียวกันผลโพลก็ชี้อีกเช่นกันว่า ไม่ต้องการให้ประเทศกรีซออกจากยูโรโซน เพราะมีความกลัวว่าจะถูกโดดเดี่ยวภายนอกยูโรโซนเพียงประเทศเดียว ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนักวิชาการที่มองว่า การออกจากยูโรโซนตอนนี้อาจหมายถึงหายนะทางเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งคราวนี้ดูจะเสียหายร้ายแรงมากกว่าที่เป็นอยู่เสียอีก

ผมคิดว่าทางออกที่ทั้งโลกอยากเห็นก็คือ ฝ่ายการเมืองของกรีซไม่ว่าฝ่ายใดจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ตาม ก็ควรไปคิดหาวิธีเจรจาหาทางออกกับธนาคารของยุโรป และเจ้าหนี้ทั้งหลายให้มีท่าทีที่ผ่อนปรนมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการอนุญาตให้รัฐบาลกรีซสามารถใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งดูเหมือนเป็นประเด็นที่ประชาชนต้องการมากเป็นพิเศษ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนชาวกรีซที่ได้รับความเดือดร้อนในเวลานี้ ว่ารัฐบาลจะมีงบประมาณที่เพียงพอในการอุดหนุนมาตรการ เพื่อบรรเทาปัญหาผลกระทบจากการไม่มีงานทำ จากรายได้ที่หดหายไป ซึ่งมองโดยรวมแล้วก็น่าจะเป็นผลดีต่อบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายอีกด้วย โดยเฉพาะ ECB และ IMF ที่เงินช่วยเหลือจำนวนมหาศาลจะไม่กลายเป็นหนี้สูญ เพราะหากกรีซต้องออกจากยูโรโซนก็คงหนีไม่พ้นต้องประกาศการหยุดชำระหนี้ หรือการเลื่อนการชำระหนี้ (Moratorium) อย่างแน่นอน

จากวันนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงสองสัปดาห์ก่อนจะถึงการเลือกตั้ง ผู้ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์การเมืองของกรีซก็คงจะคาดการณ์ถึงผลการเลือกตั้งได้ยากขึ้น เพราะกฎหมายประเทศกรีซห้ามสำรวจความคิดเห็นก่อนวันเลือกตั้งสองสัปดาห์

ในมุมหนึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่า ชาวกรีซอยากจะเป็นอิสระในการที่จะกำหนดชะตากรรมของประเทศตัวเอง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ไม่พร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแบบสุดขั้ว ซึ่งดูแล้วทางออกค่อนข้างจะมืดมนกว่าในวันนี้เสียด้วยซ้ำ

ดังนั้น การหาทางสายกลางระหว่างข้อกำหนดของ ECU กับข้อเรียกร้องของประชาชนชาวกรีซ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจากพรรคไหนก็ตาม ควรคำนึงถึงก่อนที่ประเทศจะก้าวไปสู่หนทางที่ตีบตันกว่านี้

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"