posttoday

ผ่าวงจร แป๊ะเจี้ยะ อยากเข้า( เรียน )...ต้องจ่าย!

27 พฤษภาคม 2555

เป็นอีกครั้งที่แป๊ะเจี๊ยะ หรือเงินกินเปล่า กลาย‌เป็นประเด็นใหญ่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์‌อย่างกว้างขวาง

โดย...ทีมข่าวในประเทศ

เป็นอีกครั้งที่แป๊ะเจี๊ยะ หรือเงินกินเปล่า กลาย‌เป็นประเด็นใหญ่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์‌อย่างกว้างขวาง ซึ่งตามปกติก็มักปรากฏเป็นข่าวให้‌เห็นทุกครั้งที่เปิดภาคเรียนย่างเข้าสู่เริ่มต้นปีการ‌ศึกษาใหม่ อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้ปกครองจำนวนมาก‌ต้องหาที่เรียนแห่งใหม่ให้บุตรหลาน

ทว่า ครั้งนี้ต่างออกไปเมื่อมีการจุดชนวนเรื่องนี้‌จากกลุ่มเครือข่ายผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียน‌บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ที่เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้‌อนุญาตให้นักเรียนระดับชั้น ม.3 ขึ้นชั้น ม.4 ของโรงเรียนทั้งหมด 57 คน เข้าเรียนที่เดิม โดยระบุอีกว่าต้องคืนสิทธิอันชอบธรรมโดยไม่มีค่าแป๊ะเจี๊ยะ

ความเคลื่อนไหวของเครือข่ายผู้ปกครองและนัก‌เรียนกลุ่มนี้ ขยายไปเป็นการอดอาหารประท้วงของ‌นักเรียน 4 คน เพื่อยืนยันและยื่นคำขาดในข้อเรียก‌ร้องเดิม พร้อมกับมีการเข้ายื่นกรมสอบสวนคดี‌พิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบ‌ปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ตรวจสอบเส้นทางการ‌เงินของผู้บริหารโรงเรียน ครู และสมาคมผู้ปกครอง‌ของโรงเรียนชื่อดัง 20 แห่ง แต่หลังจากได้รับคำตอบ‌จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ‌(สพฐ.) ว่าจะตั้งกรรมการเยียวยาปัญหานี้ เรื่องนี้ก็‌ยิ่งบานปลายไปอีก เมื่อผู้ปกครองรายหนึ่งขู่เผา‌ตัวเองประท้วงหากลูกไม่ได้เรียนที่เดิม

ขณะที่ สายัณห์ รุ่งป่าสัก ผู้อำนวยการ‌สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ใน‌ฐานะประธานคณะกรรมการเยียวยานักเรียน ออก‌มาสำทับว่า ตรวจสอบปัญหาการรับนักเรียนบดินทร‌เดชาทุกจุดแล้ว ไม่พบว่ามีข้อบกพร่องหรือดำเนิน‌การผิดแนวปฏิบัติที่ สพฐ.กำหนดไว้แต่อย่างใด

เรื่องนี้ยังคงลุกลาม โดยเครือข่ายได้บุกเข้าร้อง‌ต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี‌และรัฐบุรุษ เพื่อขอความเป็นธรรม และประกาศว่า‌จะปักหลักชุมนุมประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาลใน‌วันที่ 29 พ.ค.นี้ จนกว่าเด็กทุกคนจะได้กลับเข้าเรียน‌ตามเดิม

ผ่าวงจร แป๊ะเจี้ยะ อยากเข้า( เรียน )...ต้องจ่าย!

ด้าน ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการ‌การศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ระบุว่า กพฐ. ส่งตัว‌แทนเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง นโยบาย และแนวปฏิบัติ‌ในการรับนักเรียนให้กับเลขานุการ พล.อ.เปรม เข้า‌ใจแล้ว รวมทั้งยืนยันว่าโรงเรียนบดินทรเดชาไม่‌สามารถรับนักเรียนเพิ่มเติมได้แล้ว เพราะรับนักเรียนเต็มจำนวน 50 คนต่อห้องตามเกณฑ์‌กระทรวงศึกษาธิการ ส่วนความคืบหน้าการ‌ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้บริหารเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะ‌ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ไม่ได้ข้อสรุปว่าผู้บริหาร‌โรงเรียนมีความผิดแต่อย่างใด และพร้อมจะให้‌ความร่วมมือกับดีเอสไอ และ ปปง. ในการ‌ตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้บริหารโรงเรียน ครู ‌และสมาคมผู้ปกครอง

ล่าสุด สมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่ง‌ประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) ออกโรงแถลงข่าวตอบโต้‌เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับผู้อำนวยการ‌โรงเรียนมัธยมศึกษา 20 แห่ง ที่ถูกกลุ่มเครือข่าย

ผู้ปกครองกล่าวหาว่าเรียกเงินแป๊ะเจี๊ยะ โดยยืนยัน‌ว่าผู้บริหารโรงเรียนได้ดำเนินการแนวปฏิบัติการรับ

นักเรียนของ สพฐ. ครบถ้วน คือ รับเพียงรอบเดียว ‌และรับตามแผนจำนวนนักเรียนไม่เกิน 50 คนต่อ‌ห้อง แต่ยังมีประเด็นที่หลายฝ่ายเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น กรณีการรับนักเรียนชั้น ม.3 ขึ้น ม.4 ที่ส่วนใหญ่เข้าใจว่าจะรับนักเรียน 80% ที่จบ‌ชั้น ม.3 โรงเรียนเดิม แต่ข้อเท็จจริงแล้วสัดส่วน ‌80% นั้นจะคิดจากแผนการรับนักเรียนชั้น ม.4 ของ‌แต่ละโรงเรียน ไม่ใช่คิดจากจำนวนนักเรียน ม.3 ที่‌มีอยู่เดิม

จากที่นั่งเรียนขยายไปสู่สิทธิและความเท่าเทียม‌ทางการศึกษา “แป๊ะเจี๊ยะ” ย่อมหนีไม่พ้นการตกเป็น‌ผู้ต้องหาที่สร้างความไม่เท่าเทียม สร้างวงจรอุบาทว์‌ที่บ่มเพาะกันมารุ่นต่อรุ่นจนกลายเป็นค่านิยมของ‌สังคมไทย “แป๊ะเจี๊ยะ” สร้างต้นทุนการศึกษาที่สูงลิ่ว ‌ผู้ปกครองจำนวนมากยอมให้เข้ามาถลุงเงินใน‌กระเป๋า แลกกับการที่ลูกหลานได้เข้าไปเรียนใน‌โรงเรียนมีชื่อ...มีสภาพแวดล้อมและสังคมดี ระบบ‌การเรียนการสอนมีคุณภาพ มีสถิติเด็กนักเรียนเรียน‌ดีสูง ครูอาจารย์ดูแลเอาใจใส่นักเรียนเป็นหลัก‌ประกันอนาคตของลูก

เส้นทางเงินแลกที่เรียน

เงินแป๊ะเจี๊ยะนั้นมีชื่อเรียกอย่างสวยหรู แต่รูป‌แบบก็ยังวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ ตั้งแต่ที่ได้ยินกัน‌ว่า “เงินบนโต๊ะ” หรือ “เงินอุดหนุนการศึกษา” หรือ‌เรียกว่าเงินสำหรับผู้มีอุปการคุณต่อโรงเรียน...เส้น‌ทางเงินที่ทะลักเข้ามาสู่โรงเรียน (โดยเฉพาะ‌โรงเรียนดัง) ตามเส้นทางนี้ถือว่าเป็นเงินสะอาด ถูก‌กฎหมาย รับรองความถูกต้องโดยมี “สมาคมศิษย์‌เก่า” เป็นผู้ออกใบเสร็จตีตราไว้ว่าเป็น “เงินนอก‌งบประมาณ”

ทางเลือกของผู้ปกครองที่จะจ่ายเงินในเส้นทาง‌นี้ โดยทั่วไปโรงเรียนมักจะอธิบายว่า แต่ละปี สพฐ. ‌กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติการรับนักเรียนให้‌โรงเรียนทั่วประเทศรับนักเรียน แบ่งเป็นเขตพื้นที่‌บริการและนักเรียนทั่วไปแบบพบกันครึ่งทาง คือ ไม่‌เกิน 50% โดยยึดหลักเกณฑ์เดียวกัน ขณะที่‌โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงแต่ละแห่งพิเศษกว่า‌โรงเรียนทั่วไปตรงที่สามารถระบุจำนวนรับตามที่‌กำหนดไว้ต่างกัน โดยต้องยื่นแผนการรับ จำนวนทั้ง‌หมด รับทราบและยึดการรับตามแผนนั้นๆ เช่น บาง‌แห่งอาจจะไม่กำหนดให้มีสัดส่วนของการจับสลาก ‌หรือรับนักเรียนในพื้นที่บริการที่มีชื่อในทะเบียน‌บ้านอยู่ในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนเลย เปิดไว้‌เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น คือ การเปิดสอบคัดเลือก‌อย่างไม่จำกัดพื้นที่ และอีก 5% สำหรับเด็กที่มีความ‌สามารถพิเศษทางด้านดนตรี กีฬา ส่วนที่เหลืออีก ‌5% ก็คือช่องทางที่เปิดให้บริจาคเงินเข้ามา หรือ‌กระทั่งบริจาคเป็นสิ่งของ สิ่งปลูกสร้าง ตามแต่‌โอกาสจะอำนวย

กรณีดังกล่าวเป็นที่ทราบกันดีว่า โรงเรียนหลาย‌แห่งสามารถเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนัก‌เรียนได้ โดยไม่ต้องทนใช้เครื่องที่ตกรุ่นไปแล้ว มี‌อุปกรณ์การเรียนที่ครบครันเกินกว่าที่งบประมาณ‌จากกระทรวงศึกษาธิการจะเนรมิตขึ้นได้ หรือ‌กระทั่งเปิดช่องให้ผู้ปกครองเงินหนาลงเงินสร้าง‌ถาวรวัตถุให้กับโรงเรียนได้เพื่อแลกกับที่นั่งเรียน ‌ปรากฏให้เห็นทั้งในรูปสระว่ายน้ำ สนามกีฬา‌โรงเรียน ฯลฯ

ขณะที่ “เงินใต้โต๊ะ” ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์การรับเข้าเรียน ปราศจากการออกใบเสร็จรับเงิน ยอดเงิน‌ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ รูปแบบที่พบ คือ ผู้‌ปกครองเดินเข้าไปหาผู้มีอิทธิพล ซึ่งมีอำนาจผลักดัน‌ให้ลูกหลานสามารถเข้าเรียนได้ เม็ดเงินนั้นมีตั้งแต่‌หลักหมื่นถึงหลักล้าน ตามแต่ชื่อเสียงของโรงเรียน‌นั้นๆ

การแข่งขัน สูงยอดแป๊ะเจี๊ยะพุ่ง

หากลำดับความต้องการส่งลูกเข้าเรียน ผู้‌ปกครองส่วนใหญ่ต่างพุ่งเป้าไปที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยต่างๆ เพราะเชื่อมั่นกันว่าสังกัดอยู่‌ในมหาวิทยาลัย ผู้สอนระดับหัวกะทิก็ถูกเรียกตัวมาจากคณะที่ขึ้นชื่อและเป็นสายตรงที่ต่อถึงนักเรียน อย่างหลักสูตรครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ‌เพราะโรงเรียนสาธิตได้รับการการันตีในทุกด้าน คำร่ำลือถึงค่าแป๊ะเจี๊ยะกลุ่มนี้จึงสูงมากตั้งแต่หลัก‌แสนถึงล้าน

โรงเรียนชื่อดังท็อป 10-20 ในกรุงเทพมหานคร ‌ถูกประทับตราว่ารวมครูเก่งๆ ไว้มากมาย ชื่อของ‌โรงเรียนเป็นเครื่องรับประกันได้อย่างดีเยี่ยมว่า หาก‌จบการศึกษาจากที่นี่ ย่อมมีอนาคตอันสดใสพกติด‌ตัวไปด้วยอย่างแน่นอน โรงเรียนกลุ่มนี้มีค่า

แป๊ะเจี๊ยะน้อยกว่าโรงเรียนสาธิตอยู่ที่ประมาณ 5 ‌หมื่น–2 แสนบาท

อีกกลุ่มหนึ่งจัดอยู่ในกลุ่มโรงเรียนเอกชนมีชื่อ ที่‌สั่งสมชื่อเสียงมาจากเคยเป็นโรงเรียนที่คนใหญ่คน‌โตในบ้านเมืองจบการศึกษา สิ่งแวดล้อมของ‌โรงเรียนได้รับการจัดการอย่างดี เนื่องจากมีค่าใช้‌จ่ายในการเข้าเรียนค่อนข้างสูง บางแห่งผู้ปกครอง‌ต้องเสียค่าแม่บ้าน ค่าเก็บขยะรายปี โรงเรียนกลุ่มนี้‌มักจะเปิดสอนครบวงจรตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมปลาย ‌ค่าแป๊ะเจี๊ยะอยู่ที่ 5 หมื่น–1 แสนบาท และผู้‌ปกครองยังต้องจ่ายค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่‌ค่อนข้างสูงอีกด้วย

รูปแบบของการจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะในทุกโรงเรียน‌ก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เช่น การจ่ายเงินตั้งแต่ก่อนสมัครสอบเข้า ‌หรือจ่ายเงินล่วงหน้าข้ามปี บริจาคเงินติดต่อกันเป็น‌ช่วงๆ ในฐานะผู้ช่วยเหลือโรงเรียน แล้ววัดกันที่ยอด‌รวมเงินบริจาค ซึ่งระดมเงินผ่านกิจกรรมการกุศล‌ของโรงเรียน

‘นายหน้า’ ตัวช่วยฝากเด็กเข้าโรงเรียน

ย้อนอดีตไปหลายปีก่อน โรงเรียนบดินทรเดชาที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ก็มีวิธีการและขั้นตอนการฝากบุตรหลานเข้าเรียนที่พิลึกพิลั่นไม่แพ้กัน โดยผู้ปกครองรายหนึ่งได้รับการติดต่อจากนาย‌หน้า ภายหลังบุตรชายไม่สามารถสอบเข้าตาม‌กระบวนการปกติได้ โดยนายหน้านั้นอ้างว่าเป็น‌กรรมการในสมาคมผู้ปกครองและครูของโรงเรียน ‌พร้อมอ้างว่ารู้จักไปถึงผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้น โดยเอารูปถ่ายและเอกสารหลักฐานมายืนยันความสนิทสนม

ได้ข้อมูลเสร็จสรรพ นายหน้าคนนี้ก็นัดผู้‌ปกครองมาคุยกันที่ล็อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่งย่านโบ๊เบ๊ พร้อมกับยื่นเอกสารส่วนหนึ่งมาให้กรอกชื่อลูกที่จะ‌เข้าเรียน และจะแทรกรายชื่อเข้าห้องเรียนให้ ทั้งนี้‌นายหน้าระบุว่าจะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 1 ‌แสนบาท เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของโรงเรียนและสมาคมผู้ปกครอง พร้อมกับให้กรอกเหตุผลว่าเพราะเหตุใดโรงเรียนนี้จึงควรรับลูกเข้าโรงเรียน ‌ซึ่งจุดนี้ผู้ปกครองก็จะอ้างเหตุผลต่างๆ กันไป อาทิ ‌ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน หรือมีญาติเคยเรียนอยู่ด้วย‌กัน โดยค่าใช้จ่าย 1 แสนบาทนั้น นายหน้ารับรอง‌ว่าไม่แพง แต่ถ้าผู้ปกครองไม่มีจ่ายจริงๆ ก็สามารถ‌ลดระดับลงมาด้วยการให้ลูกไปเรียนในโรงเรียน‌เครือข่ายบดินทรเดชา เช่น โรงเรียนบดินทรเดชา 2 ‌หรือโรงเรียนบดินทรเดชา 3 ได้ โดยจ่ายเงินสนับ‌สนุนที่ต่ำกว่านิดหน่อย

สอบถามไปยังผู้ปกครองท่านอื่นที่เคยฝากบุตร‌หลานเข้าโรงเรียนดัง ก็พบว่ามีรูปแบบที่ไม่แตกต่าง‌กัน ที่มีนายหน้าสมาคมผู้ปกครองและครูเข้ามา‌เกี่ยวข้อง จะต่างกันบ้างก็ตรงที่ตำแหน่งของนาย‌หน้าบางคนก็เป็นนายทหารยศสูง นายตำรวจใน‌พื้นที่ ศิษย์เก่าอาวุโส หรือ สก. สข. ในพื้นที่ก็มีบ้าง‌เหมือนกัน เอกสารที่จะให้ผู้ปกครองเซ็นก็คล้ายคลึง‌กัน

เคราะห์ดีที่ผู้ปกครองท่านนี้ไม่ได้จ่ายเงินเพื่อ‌ฝากลูกเข้าโรงเรียนบดินทรเดชา เนื่องจากเงิน 1 ‌แสนบาทนั้นแพงเกินไป ทำให้ไปได้โรงเรียนในเกรด‌ที่ลดหลั่นลงมา ทว่าสังคมในที่เรียนก็ไม่ได้แตกต่าง‌กันอย่างเห็นได้ชัด และในด้านวิชาการโรงเรียนอื่น‌นั้นก็ไม่ได้แตกต่างแต่อย่างใด

รร.ต่างจังหวัดต้องพึ่งบารมี

นักการเมืองท้องถิ่น

เมื่อหันไปมองในต่างจังหวัด อาจจะต่างจากใน‌กรุงเทพมหานครอยู่บ้าง เพราะจำนวนเงินที่ใช้เพื่อ‌เข้าโรงเรียนดังหรือโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ได้มาก‌มายขนาดนั้น ทั้งนี้โรงเรียนส่วนใหญ่จะประกาศไป‌เลยว่ามี สส.พื้นที่ หรือมีนายกองค์การบริหารส่วน‌จังหวัด (อบจ.) เป็นนายกสมาคมผู้ปกครองและครู ‌ส่วนหนึ่งก็เพื่อแสดงบารมี และแสดงให้เห็นว่า‌บุคคลนี้บริจาคปีละจำนวนมาก

แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อสะท้อนให้เห็นชัด ให้ผู้‌ปกครองที่ขับรถผ่านรู้ว่าจะต้องบริจาคผ่านใคร ครูผู้สอนที่โรงเรียนประจำจังหวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งใน‌ภาคกลางให้ข้อมูลว่า ที่โรงเรียนนั้นผู้ปกครอง‌สามารถโทรศัพท์ครั้งเดียวถึง สส. สส.ก็ฝากไปถึงผู้อำนวยการโรงเรียนได้ทันที ซึ่งขั้นตอนจะซับซ้อน‌น้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มมากขึ้น ทั้งในระดับนายก‌เทศมนตรี นายกเทศบาลนคร นายก อบต. ฯลฯ ทำให้ผู้อำนวยการปวดเศียรเวียนเกล้าพอสมควร ว่า‌จะรับนักเรียนหรือให้ความสำคัญในจุดใดก่อน ซึ่งวิธี‌แก้ที่ผู้อำนวยการหลายแห่งเลือกพิจารณาขณะนี้ก็‌คือ ดูความใกล้ชิดกับกลุ่มการเมือง หรือ สส.ในพื้นที่ ‌ว่าผู้มีอิทธิพลที่ฝากให้นั้นมีคอนเนกชันกับสายใด‌บ้าง

จนล่าสุด 2-3 ปีให้หลังนี้ นักการเมืองท้องถิ่นก็‌ค้นพบว่าวิธีในการสร้างอิทธิพลและความมั่งคั่งให้‌ตัวเองก็คือ การมีคอนเนกชันกับผู้อำนวยการ‌โรงเรียน เพื่อจะรับเป็นนายหน้าในการฝากลูกหลาน‌ของประชาชนในพื้นที่ให้เข้าเรียนได้ หากสังเกตให้ดี‌ตอนนี้โรงเรียนประจำจังหวัดมักจะมีนักการเมือง‌ท้องถิ่นเข้าไปแย่งกันทำโครงการฟื้นฟูสวนหย่อม ‌สนามเด็กเล่น หรือบริจาคคอมพิวเตอร์กันเป็นทิว‌แถวเพื่อสร้างบารมี

ว่ากันว่า ขณะนี้เงินที่ผู้ปกครองจ่ายให้กับนัก‌การเมืองท้องถิ่นอยู่ราวๆ 5 หมื่น–1 แสนบาท เพื่อ‌เข้าโรงเรียนประจำจังหวัด หนักเข้าๆ ก็ไปกินโควตา ‌“ช้างเผือก” หรือเด็กนักเรียนที่เรียนเก่งจากอำเภอ‌เล็กน้อยลงเข้าไปอีก เพราะต้องแบ่งที่ให้กับลูกท่าน‌หลานเธอเหล่านี้ ครูผู้สอนก็เหนื่อยใจ เพราะนอก‌จากเด็กเหล่านี้จะไม่ได้มีความสามารถอะไรโดดเด่น‌แล้ว ยังอวดอ้างความเป็นลูกหลานผู้หลักผู้ใหญ่ต่อ‌ครูประจำชั้นอีกด้วย หากจะลงโทษก็ไม่สามารถ‌ลงโทษได้ เพราะจะมีโทรศัพท์มายังผู้อำนวยการ‌โรงเรียนทันที

ครูท่านนี้ ทิ้งท้ายไว้ว่า ไม่อยากจะคิดว่าอนาคต‌ของนักเรียนเหล่านี้จะเป็นอย่างไร เพราะขนาดเป็น‌เด็กก็ยังซึมลึกกับระบบเจ้าขุนมูลนายขนาดนี้ ‌พร้อมกับแสดงความสิ้นหวังกับระบบการศึกษาที่‌มืดมนไร้ทางไป ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ที่สร้างคนให้‌อยู่นอกระบบ

แป๊ะเจี๊ยะ กำลังถ่างช่องว่างด้านความเหลื่อมล้ำ‌ทางการศึกษาให้ยิ่งห่างออกไป โดยมีเด็กที่ไร้ต้นทุน ‌หรือต้นทุนชีวิตต่ำเป็นผู้รับกรรมอยู่ร่ำไป เมื่อผู้‌ปกครองออกมาร้องเรียนเรื่องนี้ ไม่ว่าจะครั้งไหน ที่‌สุดก็มักจะแผ่วเบาลงไปตามกระแส เป็นที่น่าสังเกต‌ว่าแม้จะไม่มีใครกล้าออกมารับรองว่าแป๊ะเจี๊ยะเป็น‌เรื่องที่ไม่มีอยู่จริง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะ‌รัฐบาลไหนก็ไม่สามารถเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับ‌เรื่องนี้ได้เลย

 

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา