posttoday

โลกนับถอยหลังกรีซโบกมือลาอียู

14 พฤษภาคม 2555

แม้จะมีข่าวดีให้นักลงทุนทั่วโลกพอโล่งอกได้เปลาะหนึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

โดย...ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์

แม้จะมีข่าวดีให้นักลงทุนทั่วโลกพอโล่งอกได้เปลาะหนึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังยุโรปเริ่มส่งสัญญาณว่า มหากาพย์วิกฤตหนี้กรีซที่ยืดเยื้อมายาวนานกว่า 5 ปี กำลังถึงจุดจบเสียที ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซรอบ 2 เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา หรือความคืบหน้าในแผนปฏิรูปสหภาพการคลังของยุโรป ล้วนแต่เป็นข่าวดีที่นักลงทุนรอคอยมานาน

ทว่า ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมข่าวดี ดูเหมือนว่าขณะนี้นักลงทุนต่างต้องมานั่งกุมขมับกับวิกฤตหนี้ยุโรปอีกครั้ง โดยเฉพาะนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ถึงตอนนี้กรีซยังคงล้มเหลวในการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่เพื่อขึ้นบริหารประเทศ

และมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องมีการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนหน้า ขณะที่เส้นตายที่ยุโรปได้ขีดไว้ให้กรีซในการอนุมัติมาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติมมูลค่า 1.15 หมื่นล้านยูโร (ราว 5.52 แสนล้านบาท) ก็กำลังเข้าใกล้ทุกที

หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ยุโรปอาจตัดสินใจระงับเงินช่วยเหลือกรีซทั้งหมด หากกรีซไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งแน่นอนว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็จะนำไปสู่การผิดชำระหนี้ของกรีซนั่นเอง

อีกทั้งสถานการณ์ยังมีทีท่าว่าจะร่อแร่หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ ภายหลังพรรคไซริซา ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายที่สามารถโกยคะแนนมาเป็นอันดับ 2 และกำลังถูกยกให้เป็นตัวเก็งที่จะคว้าชัยหากมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ประกาศจะ “ฉีก” สัญญาเงินกู้ฉุกเฉินที่รัฐบาลที่ผ่านมาลงนามร่วมกับสหภาพยุโรป (อียู) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ทันทีหากได้เป็นรัฐบาล

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักวิเคราะห์จะฟันธงว่า จะช้าหรือเร็ว สุดท้ายกรีซก็จะต้องออกจากยูโรโซนอย่างแน่นอน โดยสถาบันการเงินชื่อดังอย่าง ซิตี้กรุ๊ป ฟันธงว่า มีโอกาส 75% ที่กรีซจะออกจากยูโรโซนภายใน 18 เดือนข้างหน้านี้

ช่วงเวลาต่อไปนี้จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาอันตรายสำหรับกรีซที่อาจเป็นตัวตัดสินได้เลยว่า กรีซจะ “อยู่” หรือ “ไป” จากยูโรโซน โดยล่าสุดหนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ เตือนว่า หากยังคงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงเวลาอีกไม่กี่เดือนต่อไปนี้ กรีซอาจต้องเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญ 5 เหตุการณ์ ซึ่งจะทำให้เอเธนส์ต้องพ้นสภาพจากการเป็นสมาชิกของยูโรโซน

โลกนับถอยหลังกรีซโบกมือลาอียู

 

1.ภาวะอัมพาตทางการเมือง หรือปัญหาทางตันทางการเมือง ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่กรีซกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยความล้มเหลวในการจดตั้งรัฐบาลกำลังส่งผลให้กรีซได้รับเสียงเตือนหนาหูว่า อาจต้องออกจากจากยูโรโซนหากไม่ยอมเดินหน้ารัดเข็มขัด

2.ภาวะถังแตก ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีหากกรีซไม่เดินหน้ารัดเข็มขัดและปฏิรูปตามเงื่อนไขที่ยุโรปกำหนดเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ

“เงินช่วยเหลืองวดล่าสุดมูลค่า 4,200 ล้านยูโร (ราว 2.01 แสนล้านบาท) อาจเป็นเงินงวดสุดท้ายที่กรีซจะได้รับจากยุโรป” คริสเตียน ชูลตส์ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารเบเรนเบิร์ก กล่าว โดยยังเตือนอีกว่า หากกรีซยังคงเดินหน้าจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนพันธบัตรคืน รัฐบาลก็อาจถังแตกภายในเดือน ก.ค. ซึ่งหลังจากนั้นก็จะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนและเงินบำนาญให้ข้าราชการได้

ขณะเดียวกันธนาคารของกรีซก็จะถูกตัดขาดความช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารยุโรปโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่จะตามมาก็คือ ธนาคารขาดความน่าเชื่อถือจนประชาชนแห่ถอนเงินออกทันที ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาร์เจนตินาเมื่อปี 2544 กรีซเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะล้มละลายในระบบการเงินสูงมากที่สุด

3.การตั้งสกุลเงินและธนาคารใหม่ โดยกรีซจะต้องระงับบัญชีของประชาชนพร้อมออกกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนแห่ถอนเงิน

ขณะเดียวกันกรีซจะต้องกลับไปใช้สกุลเงินเดิม “ดรักมา” ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายมองว่า รัฐบาลกรีซอาจกำลังแอบพิมพ์เงินดรักมาอยู่ก็เป็นได้เพื่อรับมือกรณีฉุกเฉิน

นอกจากนี้ รัฐบาลกรุงเอเธนส์ก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการตั้งธนาคารใหม่ หลังธนาคารภายในประเทศต้องประสบภาวะล้ม ละลายจากการถูกตัดขาดจากอีซีบี

4.ชาวกรีซหนีออกนอกประเทศ นักวิเคราะห์มองว่า ในที่สุดสถานการณ์ในกรีซก็จะเลวร้ายสุดๆ จนบีบบังคับให้ประชาชนออกนอกประเทศเพื่อเสาะหาโอกาสที่ดีกว่าในต่างแดน

ยกตัวอย่างเช่น หากรัฐกลับมาใช้เงินดรักมา ก็จะต้องกำหนดค่าขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นค่าในการแปลงหนี้และสินทรัพย์ต่างๆ ที่อยู่ในสกุลเงินยูโรเดิม ซึ่งไม่ว่าจะกำหนดไว้เท่าใด ในที่สุดก็ย่อมต้องอ่อนค่า ซึ่งจะส่งผลให้สินค้านำเข้าแพงขึ้นและเกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา เช่นเดียวกับปัญหาการว่างงาน

ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า การออกจากยูโรโซนนั้นหมายความว่า กรีซจะต้องอยู่ในสภาพ “โดดเดี่ยว” ซึ่งเมื่อการปล่อยกู้ยุติลง ธุรกิจขนาดเล็กก็จะหนีไม่พ้นสภาพล้มละลาย

“การบริโภคภายในประเทศอาจดิ่งลงถึง 30%” เจนส์ นอร์ดวิก จากโนมูระ กล่าว

ขณะที่นักวิเคราะห์จากธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส มองว่า การออกจากยูโรโซนจะทำให้จีดีพีกรีซหดตัว 20% เงินเฟ้อพุ่ง 40-50% และหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งสูงเกินระดับ 200%

ในที่สุดรัฐบาลกรีซอาจไม่มีทางเลือกนอกจากการสั่ง “ปิด” ชายแดน

และท้ายสุดนั้น ก็จะเกิด 5.ภาวะวิกฤตลุกลาม ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีหากกรีซกลับไปใช้เงินดรักมา เพราะสินทรัพย์ต่างๆ ที่เจ้าหนี้กรีซถืออยู่ ซึ่งแต่เดิมนั้นอยู่ในสกุลเงินยูโร จะถูกแปลงค่าเป็นเงินดรักมา

ขณะเดียวกันการกลับมาใช้สกุลเงินเดิมก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาด้านกฎหมายในแง่ของสัญญาธุรกิจและสัญญาต่างๆ ของรัฐบาล

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การออกจากยูโรโซน และการกลายเป็นหนี้ศูนย์ของกรีซจะส่งผลกระเทือนไปทั่วภาคการเงินของยุโรป ที่หลายประเทศเองก็อยู่ในภาวะสั่นคลอนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสเปนและอิตาลี แม้กระทั่งฝรั่งเศสเอง ที่ภาคเอกชนถือพันธบัตรของกรีซไว้จำนวนมหาศาล

ทั้งนี้ แม้เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ขณะนี้สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อประชาชนกรีซได้เทคะแนนเสียงให้กับพรรคซ้ายจัดอย่างล้นหลามมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะพรรคดังกล่าวชูนโยบาย “ฉีกแผนรัดเข็มขัด” อย่างแข็งกร้าวและชัดเจน

ต้องลุ้นกันต่อไปว่า กรีซจะสามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมและยุติวิกฤตตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้เร็วที่สุดและรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับยูโรโซนที่จะเดินหน้า “รัดเข็มขัด” ต่อไปได้หรือไม่

ทางตันนี้ไม่ง่ายที่จะผ่าไปได้เสียด้วย!

ข่าวล่าสุด

“สีหศักดิ์” เตรียมประชุมอาเซียนนัดพิเศษที่มาเลเซีย ถกปมกัมพูชา 22 ธ.ค.นี้