posttoday

อังกฤษ : การสิ้นสุดและการกลับมาของสถาบันพระมหากษัตริย์

04 พฤษภาคม 2555

โดย...ไชยันต์ ไชยพร

โดย...ไชยันต์ ไชยพร

สงครามกลางเมืองของอังกฤษในช่วง ค.ศ. 1642-1649 เป็นการทำสงครามระหว่างพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กับฝ่ายต้องการขยายอำนาจรัฐสภา ในปี 1642 ฝ่ายรัฐสภายื่นข้อเรียกร้อง 19 ข้อต่อพระเจ้าชาร์ลส์ เพื่อมุ่งที่จะลดทอนพระราชอำนาจ โดยอ้างหลักการจารีตดั้งเดิมที่มีการลดทอนพระราชอำนาจครั้งแรกในปี 1215 อันเป็นที่มาของกฎหมายที่เรียกว่า Magna Carta ซึ่งฝ่ายนิยมรัฐสภาถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ ขณะเดียวกันฝ่ายพระเจ้าชาร์ลส์ก็ทรงเห็นว่าการยอมตามข้อเรียกร้องนี้เป็นการทำลายระบอบการปกครองที่ดำเนินมายาวนานของอังกฤษ ที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจดังที่มีอยู่

พระองค์จึงประกาศทำสงครามกับฝ่ายรัฐสภา แต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ ส่งผลให้พระองค์ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการพิพากษา ในข้อกล่าวหา “ทรยศต่อชาติและใช้อำนาจทางการเมืองก่อสงครามเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว” พระองค์ปฏิเสธที่จะเข้าสู่กระบวนการดังกล่าว โดยอ้างว่า พระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดินของพระองค์นั้นได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ก็ทรงขึ้นครองราชย์ผ่านพิธีบรมราชาภิเษกตามจารีตประเพณี

ส่วนอำนาจของพวกที่ต้องการพิพากษาพระองค์นั้น เป็นอำนาจที่มาจากการชนะสงครามด้วยการใช้กำลังความรุนแรง ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงยืนยันว่าไม่มีกฎหมายใดจะรองรับการพิพากษาคดีนี้ได้ พระองค์ทรงตรัสต่อฝ่ายปฏิวัติว่า “Then for the law of this land, I am no less confident, that no learned lawyer will affirm that an impeachment can lie against the King, they all going in his name: and one of their maxims is, that the King can do no wrong.” อีกนัยหนึ่งก็คือ พระองค์ไม่ทรงยอมรับการตั้งข้อกล่าวหาและการพิพากษาคดีของฝ่ายปฏิวัติ และการปกครองภายใต้ระบอบนี้ของพระองค์ไม่มีทางที่พระมหากษัตริย์จะกระทำผิดได้?

อย่างไรก็ตาม พระองค์ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการตัดพระเศียรในปี 1649 นับเป็นครั้งแรกของอังกฤษที่มีการพิพากษาพระมหากษัตริย์โดยอ้างว่าทำในนามของประชาชน หลังจากนั้นระบอบการปกครองโดยกษัตริย์ของอังกฤษได้สิ้นสุดลง เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยเรียกชื่อว่า “The Commonwealth of England” โดยมีรัฐสภาทำหน้าที่นิติบัญญัติ

ส่วนอำนาจฝ่ายบริหารอยู่ที่คณะมนตรีแห่งรัฐ ซึ่งก็คือกลุ่มแกนนำการปฏิวัตินั่นเอง แต่การเมืองการปกครองใหม่ของอังกฤษก็ยังอยู่ในสภาพไร้เสถียรภาพ จนมีการจัดตั้งรัฐสภาขึ้นมาใหม่ในปี 1653 ที่รู้จักกันในนาม “Barebone’s Parliament” ซึ่งเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะสร้างเสถียรภาพทางการเมืองก่อนที่อำนาจจะถูกรวมศูนย์อยู่ภายใต้ผู้นำฝ่ายทหาร นั่นคือ โอลิเวอร์ ครอมเวล ผู้ซึ่งอยู่ในอำนาจตั้งแต่ปี 1653 จนถึงแก่กรรมในปี 1658

หลังจากนั้น ริชาร์ด ครอมเวล ขึ้นมาดำรงตำแหน่งต่อจากผู้พ่อได้เพียง 1 ปีเท่านั้น ก็ถูกทั้งฝ่ายกองทัพและรัฐสภาโค่นอำนาจ จากนั้นรัฐสภาอังกฤษก็ตัดสินใจสถาปนาสถาบันพระมหากษัตริย์กลับขึ้นมาใหม่ โดยกราบบังคมทูลเชิญพระราชโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ซึ่งเสด็จลี้ภัยอยู่ต่างแดนให้กลับมาครองราชย์ในนามของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2

คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมอังกฤษถึงไม่ประสบความสำเร็จในการปกครองระบอบสาธารณรัฐและกลับต้องฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์คืนมา? มีคนชอบกล่าวว่าเป็นเพราะ ริชาร์ด ครอมเวล ไม่มีบารมีในกองทัพเหมือนพ่อของเขา เมื่อกองทัพขาดความเชื่อมั่นในตัวเขา เขาก็ไม่มีความไว้ใจในกองทัพ และนี่เป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เขาไม่สามารถนำพาระบอบสาธารณรัฐให้เดินหน้าต่อไปได้ และในที่สุดทหารก็คือกำลังสำคัญที่ทำให้เขาต้องพ้นจากตำแหน่งไป โดยการนำของนายทหารที่ชื่อ George Monck ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการนำสถาบันพระมหากษัตริย์กลับมา

แค่สาเหตุเรื่องผู้นำนี้ไม่น่าจะทำให้กองทัพไม่เดินหน้าปฏิวัติต่อ?! แต่ปัจจัยสำคัญก็คือ กองทัพไม่มีแรงจูงใจ เพราะนายทหารส่วนใหญ่มาจากชนชั้นสูง ซึ่งหลังการปฏิวัติมีความพึงพอใจกับสิ่งที่ได้มา รวมทั้งนายทหารที่แม้ว่าไม่ได้มาจากชนชั้นสูง แต่ผลพวงที่พวกเขาได้จากการปฏิวัติทำให้เลื่อนสถานะขึ้นเป็นชนชั้นสูง พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ

ขณะเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป ภาพลักษณ์ของกองทัพที่เข้าร่วมกับกลุ่มการเมืองหัวรุนแรงต่างๆ ในช่วงสงครามกลางเมืองที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ผู้คนในสังคมชื่นชมกองทัพเหมือนที่เคย เพราะประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนระดับกลางขึ้นไปต่างต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบเรียบร้อย ซึ่งยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้ระบอบการเมืองใหม่นี้ อีกทั้งการเดินหน้าปฏิวัติจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง สูญเสีย ของบรรดาชนชั้นกลางและชนชั้นสูงได้

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการประสานเป็นพันธมิตรกันระหว่างฝักฝ่ายในรัฐสภา ทั้งที่เป็นเคยเป็นฝ่าย “ล้มเจ้า” และฝ่าย “นิยมเจ้า” อีกทั้งยังรวมถึงฝ่ายแกนนำทางการเมืองของกรุงลอนดอน และแน่นอนที่สุดก็คือ การสนับสนุนอย่างแข็งขันจากกองทัพ อันนำมาซึ่งการสถาปนาสถาบันพระมหากษัตริย์กลับคืนมา และนี่ไม่เพียงเป็นการฟื้นฟูสถาบันฯ กลับคืนมาเท่านั้น แต่หมายถึงการทำให้สังคมที่เคยวุ่นวายสับสนกลับหัวกลับหาง

ในสายตาของคนส่วนใหญ่ หลังปฏิวัติกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยภายใต้การนำของสถาบันพระมหากษัตริย์ และนี่เป็นที่มาของช่วงเวลาที่เรียกว่า “English Restoration”

ข่าวล่าสุด

มติสมช.ย้ำจบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องคุยกันระดับทวิภาคี