ลงทุนพม่า “Wait and see a little”
“Wait and see a little”คงไม่ใช่แค่ประโยคที่“อองซานซูจี”ส่งสัญญาณต่อนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนในพม่า
โดย...เจียรนัย อุตะมะ
“Wait and see a little”คงไม่ใช่แค่ประโยคที่“อองซานซูจี”ส่งสัญญาณต่อนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนในพม่า ท่ามกลางผลการเลือกตั้งที่“ซูจี”เข้าไปมีส่วนออกเสียงในรัฐสภาเพียงประมาณ 7% ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารที่มีผู้นำคือประธานาธิบดี“เต็งเส่ง”
แม้ว่าการเมืองพม่าคลี่คลายด้วยการเปิดเสรีมากขึ้น ที่อาจนำไปสู่การเลิกคว่ำบาตรของชาติตะวันตก แต่พม่ายังต้องใช้เวลาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านอย่างน้อย 5-6 ปีกว่าจะเข้าที่
โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมครบวงจรทวายบนพื้นที่ 2 แสนไร่ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ยังไม่ไปไกลถึงไหน เพิ่งต่อรองการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเปลี่ยนจากถ่านหินมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงใน 5 ปีแรก และอยู่ระหว่างระดมทุนเพื่อจัดทำโครงการ
รัฐบาลเพิ่งลอยตัวค่าเงินจ๊าด แต่จะทำให้ค่าเงินตามประกาศของทางการ 6 จ๊าดต่อเหรียญสหรัฐ และในตลาดมืด 830 จ๊าดต่อเหรียญสหรัฐ เป็นราคาเดียวกันได้หรือไม่
รวมถึงนโยบายที่กลับไปกลับมาของพม่า จะยังคงอยู่หรือไม่ ดังเช่นบริษัทขนาดใหญ่ของไทยที่เข้าไปลงทุนมากกว่า 2 ทศวรรษแล้วยังต้องเผชิญกับปัญหานี้อยู่
แต่ที่แน่ๆ มีความเชื่อกันว่าพม่าจะไม่กลับไปปิดประเทศเพื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว
“สุเนตร ชุตินธรานนท์”ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เสถียรภาพทางการเมืองพม่าเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุน และเชื่อว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้อำนาจยังอยู่ในมือของกองทัพ
สัดส่วนที่นั่ง 40 คนของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของซูจี กรณีชนะถล่มทลายเท่ากับคะแนนเสียงเพียงไม่ถึง 7% จากสมาชิกทั้งหมด 1,158 คน เพราะกรณีต้องใช้คะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรต้องให้สภาเห็นชอบอย่างน้อย 75%
นอกจากนี้ ผู้แทนในรัฐสภาไม่มีอำนาจในการยกเลิกเพิกถอนร่างกฎหมายงบประมาณแผ่นดิน และรัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งถอดถอนบุคคลในรัฐบาลโดยไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากสภา
รัฐบาลพม่าต้องการส่งสัญญาณชัดเจนว่า การเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา โปร่งใส ยุติธรรม นั่นคือการที่“ซูจี”และพรรคเอ็นแอลดีชนะ ที่จะสามารถได้รับการยกเลิกการคว่ำบาตรได้
“เขามาไกลขนาดนี้แล้วเชื่อว่าโอกาสย้อนกลับไปสู่จุดเดิมยากเต็มที่ และเศรษฐกิจก็เป็นความมั่นคงนอกเหนือไปจากความมั่นคงทางการเมือง การที่จะกลับไปสู่จุดเดิมคงยากแล้ว”สุเนตร กล่าว
ว่ากันว่า ถ้าจะดูการเมืองพม่า ให้พิจารณาที่ตัวผู้นำ
“อภิรัฐ เหวียนระวี”อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เชื่อว่าพม่าถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้วเพราะมีแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศ
ในฐานะที่เคยเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำพม่าในช่วงที่“เต็งเส่ง”ร่างรัฐธรรมนูญเตรียมการเลือกตั้ง เขายืนยันได้ว่าพม่ามีเจตนารมณ์ที่จะไปข้างหน้าอย่างแท้จริง
“เต็งเส่ง”เคยเป็นผู้บัญชาการพื้นที่สามเหลี่ยมเขตแดนติดต่อ 3 ประเทศ คือ ลาว ไทย และจีน ต้องมีความเด็ดขาดในการปกครอง พูดคำไหนคำนั้น แต่ภายหลังเปิดประเทศ ประชาธิปไตยในพม่าจะยั่งยืนหรือไม่เมื่อพ้นยุคของเขา
“ปัจจุบัน เต็งเส่ง เป็นโรคหัวใจ จึงมีปัญหาว่า การเปิดประเทศจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่เมื่อสิ้นยุคผู้นำคนนี้ แต่ผมคิดว่าต่อเนื่อง เพราะพม่าได้วางตัวผู้สืบทอดไว้แล้ว และคนที่จะสืบทอดนี้ก็มีความประนีประนอมสูง”
อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นปัญหาทางการเมืองไปได้เปลาะหนึ่ง แล้วสภาพพม่าปัจจุบันนี้เหมาะสมกับการลงทุนหรือไม่ ยังเป็นปัญหาให้ต้องขบคิดต่อไป สำหรับบริษัทใหญ่ทุนเยอะสายป่านยาวคงเข้าไปได้เพื่อลงหลักปักฐาน แต่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) คงต้องคิดหนัก
เมเปิลครอฟต์ กลุ่มวิเคราะห์ความเสี่ยงทางธุรกิจของอังกฤษ วิเคราะห์ว่า พม่าถือเป็นประเทศที่มีระบบกฎหมายธุรกิจที่เลวร้ายที่สุดในโลก หรือปกป้องธุรกิจต่างชาติน้อยที่สุดในโลก แม้ว่าพม่าจะผ่านการปฏิรูปการเมืองมาบ้างแล้ว และถือเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่พม่ารั้งตำแหน่งนี้จากทั้งหมด 197 ประเทศทั่วโลก
“ธนิต โสรัตน์”รองประธานสภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้พม่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายในโอกาสเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่มีชายแดนติดต่อกัน เพราะเป็นประเทศที่มีแต้มต่อทางการค้า ในขณะที่ประเทศไทยเริ่มถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้า(จีเอสพี) แต่การลงทุนในพม่าไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ควรเห่อตามกระแส เพราะมีความเสี่ยงมากมายที่ต้องจัดการ
ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กควรมีทุนขั้นต่ำ 15 ล้านบาทสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิต แต่สำหรับธุรกิจการให้บริการควรมีทุนขั้นต่ำ 9 ล้านบาท และพร้อมที่จะทิ้งเงินก้อนนี้โดยไม่เดือดร้อน เพราะเผื่อการลงทุนไม่ถึงจุดคุ้มทุนใน 5-6 ปี ดังนั้นจึงต้องมีสายป่านยาวจริง
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แนะนำว่า ก่อนเข้าไปลงทุนควรพิจารณากฎหมายการลงทุน อัตราแลกเปลี่ยนที่ต่างกันมากระหว่างค่าเงินของทางการ กับค่าเงินในตลาดมืด แม้ว่าพม่ามีแรงงานราคาถูกจำนวนมาก แต่ขาดแรงงานที่มีทักษะ ค่าขนส่งแพง เนื่องจากสาธารณูปโภคยังไม่พร้อม ค่าไฟฟ้าแพง ต้องมีเครื่องปั่นไฟ
“การเข้าไปลงทุนในพม่านั้นต้องมีวิสัยทัศน์เพราะเป็นการชี้วัดว่าจะอยู่หรือไป มีจุดแข็งหรือไม่ ต้องมีการจัดการ เทคโนโลยีต้องพร้อม ต้องมีคนของตัวเองคุม นอกจากนั้นต้องมีหุ้นส่วนที่ดี เขาเหมือนเราเมื่อ 30 ปีก่อน ต้องมีเส้นสายทหาร ตำรวจ”
อย่างไรก็ตาม พม่านั้นเป็นโอกาสของธุรกิจที่ผลิตสินค้าพื้นฐานราคาถูก ทั้งรองเท้า เสื้อผ้า อาหาร ประมง และการเกษตร แต่ยังไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมหนัก ต้องรอให้นิคมอุตสาหกรรมทวายเกิดขึ้นก่อน
นอกจากนั้น ยังมีลู่ทางในการดำเนินธุรกิจโรงแรม เนื่องมาจากที่พักในพม่าราคาแพงมาก และมีเพียงไม่กี่แห่ง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่เข้าไป
สิ้นปี 2554 ที่ผ่านมา ต่างชาติเข้าไปลงทุนในพม่าสูงถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าตัวจากปี 2553 ที่มีเม็ดเงินลงทุนเพียง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เริ่มเปิดประเทศชัดเจน โดยมีจีนเป็นผู้ลงทุนใหญ่สุดมูลค่าสูงถึง 70% ของนักลงทุนต่างชาติ
“ณัฐสิทธิ เธียรประสิทธิ์”นักวิจัยอาวุโส สถาบันนโยบายวิจัยเศรษฐกิจและการคลัง(สวค.) กล่าวว่า เงินลงทุนในพม่าจำนวนมหาศาลถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐปีที่ผ่านมานั้น เป็นการลงทุนจริงเพียงหลักพันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เพราะประเทศนี้ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องพัฒนาอีกมาก
บริษัทข้ามชาติหลายราย เช่น คอมเมิร์ซ แบงก์เอจี ธนาคารรายใหญ่อันดับสองของเยอรมนี สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาแห่งชาติเยอรมนี (DEG) บริษัท เชฟรอน และเอ็กซอนโมบิล ผู้สำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติชั้นนำของโลก และบริษัท โคคา-โคลา ได้แสดงความสนใจในการลงทุนในพม่า
สำหรับบริษัทไทยนั้นนำโดย บริษัท อิตาเลียนไทยฯ ที่เดินหน้าก่อสร้างโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย หลังศึกษามานานถึง 11 ปี บนพื้นที่ 2 แสนไร่ หรือใหญ่กว่านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดถึง 10 เท่า
เฟสแรกใช้งบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนนและท่าเรือ จากนั้นจะเปิดรับนักลงทุนที่สนใจเข้าร่วมทุนในอุตสาหกรรมหนัก ทั้งโรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน โรงปิโตรเคมี โรงเหล็ก ซึ่งบริษัท ปตท. และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง ได้ยืนยันการลงทุนในโครงการนี้
ส่วนบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง ได้รับสัมปทานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ อายุสัมปทาน 30 ปี มูลค่าการลงทุน 6 หมื่นล้านบาท
เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปทำธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไก่
เครือใบหยกเข้าไปทำธุรกิจโรงแรม เครือธนาคารกรุงเทพเข้าไปทำธุรกิจปูนซีเมนต์
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เข้าไปสำรวจก๊าซธรรมชาติ
แล้วบริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการลงทุนหรือไม่ มีปัญหาและอุปสรรคอย่างไร
เมียวเทตเลขาธิการทั่วไป สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมพม่า กล่าวว่า 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับสองรองจากจีนในพม่า โดยเฉพาะเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ที่เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารและเกษตร
ทั้งนี้ หากพิจารณาบริษัทที่เข้าไปลงทุนในพม่าก่อนหน้านี้พบว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ และหากเป็นบริษัทขนาดเล็กก็เริ่มต้นจากการค้าเป็นหลัก และต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคมากมาย หากสามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้ก็มีโอกาสไปต่อ เมื่อพม่าเปิดเสรีและมีความพร้อมมากขึ้น
“อนนต์ สิริแสงทักษิณ”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการPTTEPเข้าไปพม่าเมื่อ 20 ปีก่อนได้สัมปทานเจาะสำรวจก๊าซธรรมชาติ 5 แปลง ปัญหาในการลงทุนในพม่า คือ การเปลี่ยนใจไปมา การนำก๊าซกลับเมืองไทยนั้นยุ่งยาก ต้องใช้เวลาเจรจานาน อย่างไรก็ตาม PTTEPยังยืนยันลงทุนในประเทศนี้ต่อไป เพราะเชื่อว่าเป็นโอกาส เนื่องจากประเทศนี้เป็นประเทศหลักที่มีก๊าซธรรมชาติอยู่มาก และหากมีการเปิดประเทศบริษัทจะได้เปรียบ
“บุญเกียรติ ชีวะตระกูลกิจ”รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนากลยุทธ์และธุรกิจ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ซีพี กล่าวว่า ซีพีเข้าไปลงทุนในประเทศนี้นานนับสิบปี ลองถูกลองผิดมามาก เคยทำธุรกิจห้องเย็นแล้วไม่ประสบผลสำเร็จเพราะตลาดจำกัด ส่งออกไปสหภาพยุโรปไม่ได้ ดังนั้นการมุ่งส่งออกจะมีปัญหา จึงเปลี่ยนแนวทางมุ่งขายตลาดในประเทศที่ประชากรประมาณ 60 ล้านคน
สำหรับการเข้ามาพม่าในปัจจุบันที่เปิดประเทศแล้ว จะทำให้มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น และเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพ ควรพิจารณาว่ามีตลาดรองรับหรือไม่ และอย่าประเมินพม่าต่ำเกินไป
“โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์”กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง กล่าวว่า บริษัทเริ่มต้นจากการค้าระหว่างประเทศ โดยขายอุปกรณ์ไฟฟ้าและขายแอร์มากว่า 10 ปีแล้วในพม่า ต่อมาจึงเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานลม
เธอแนะนำให้นักลงทุนเข้าไปศึกษาเรียนรู้ทำธุรกิจในพม่าทั้งด้านภาษีกฎหมาย แม้ว่ายังไม่มีความชัดเจน การนำเข้าและส่งออกสินค้าต้องมีใบอนุญาต แต่เริ่มจากการค้าจะง่ายกว่าการลงทุน
ด้าน“สยามรัฐ สุทธานุกูล”ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสซีจี เทรดดิ้ง ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดซีเมนต์ในพม่า ที่เป็นที่รู้จักกันดีกับปูนซิเมนต์ตราช้าง กล่าวว่า เข้าไปค้าขายในพม่าประมาณ 19 ปี โดยการตั้งสำนักงานตัวแทนขายในระยะแรก จากนั้นลงทุนตั้งโรงงานซีแพคที่เมืองย่างกุ้ง เนย์ปิดอว์ และมัณฑะเลย์ ต่อมาได้ใบอนุญาตนำเข้าซีเมนต์
ล่าสุดปี 2551 ส่งคนเข้าไปสร้างระบบจัดจำหน่าย และพบว่านโยบายเปลี่ยนแปลงไปมา แต่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยส่งปูนเข้าไปขายเดือนละ 1.5 แสนตัน และนำระบบจำหน่ายแบบทันสมัยเข้าไปใช้
ปัญหาที่พบในประเทศนี้คือกฎเกณฑ์การดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การนำเข้าซีเมนต์ต้องมีใบอนุญาต ปัญหาด้านการขนส่งทั้งเงินและสินค้า นอกจากนั้นข้อมูลและสถิติยังไม่ชัดเจน ต้องใช้การคาดเดาในการดำเนินธุรกิจหรือส่งคนเข้าไปในพื้นที่เพื่อหาข้อมูล
“บุญเกียรติ”เสนอแนะให้รัฐบาลพม่าส่งเสริมการลงทุนด้วยการไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ทำตามที่ได้พูดไว้ก็เพียงพอแล้ว ทั้งการให้วีซ่าเข้าประเทศเพื่อการทำงาน ระบบการเงินการธนาคาร และมาตรการทางภาษี
ก่อนตัดสินใจเข้าไปลงทุนในประเทศเกิดใหม่แห่งนี้ ควรพิจารณาให้ดี ทั้งความพร้อมของตัวเอง และโอกาสที่จะเข้าไป ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด รับได้แค่ไหน...


