อย.ยกฐานะ"ซูโดฯ"เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2
สธ.เผยผลสอบไม่พบการทุจริตยาซูโดอีเฟดรีน โรงพยาบาลนวมินทร์1 จำนวน 9.2 แสนเม็ดที่หายไป ด้าน อย.ยกฐานะให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2
สธ.เผยผลสอบไม่พบการทุจริตยาซูโดอีเฟดรีน โรงพยาบาลนวมินทร์1 จำนวน 9.2 แสนเม็ดที่หายไป ด้าน อย.ยกฐานะให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2
นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยผลการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีการสั่งซื้อยาแก้หวัด ส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน จำนวนกว่า922,500 เม็ด ของโรงพยาบาลนวมินทร์1 ว่า เบื้องต้นพบว่าโรงพยาบาลนวมินทร์1 มีข้อสงสัยในระบบการสั่งซื้อยาที่ผ่านตัวแทนบริษัท มีนบุรี เวชกิจ ที่เป็นเครือญาติกัน และเมื่อตรวจสอบโดยละเอียดไม่พบว่าโรงพยาบาลนวมินทร์1มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อยาดังกล่าว แต่บริษัท มีนบุรี เวชกิจ นำชื่อโรงพยาบาลไปแอบอ้างดำเนินการสั่งซื้อยา
นอกจากนี้ยังตรวจสอบยังพบอีกว่าโรงพยาบาลนวมิทร์1 ได้ยกเลิกการสั่งยากับบริษัทมีนบุรี เวชกิจ ตั้งแต่ปลายปี 2553 แต่บริษัทดังกล่าวยัง ดำเนินการสั่งซื้อยาแก้หวัด ส่วนผสมซูโดอีเฟดรีน จาก 4 บริษัท จำนวน 19 ครั้งและนำไปขายต่อให้กับร้านขายยา 70 แห่งทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตามได้ส่งหลักฐานทั้งหมดที่ตรวจสอบได้ ให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงต่อไป
นอกจากนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ยังพบการสั่งซื้อยาแก้หวัด ที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ของสถานพยาบาลเอกชนและคลีนิก รวม 9 แห่งซั่งพบว่า มีคลีนิก 1 แห่งมียอดสั่งซื้อย่าจำนวน350,000 เม็ด
วันเดียวกัน นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (เพิ่มเติม) โดยได้จัดให้สารซูโดอีเฟดรีน (pseudoephedrine) และยาทุกสูตรตำรับ ที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนประกอบเป็นวัตถุออกฤทธิ์ ในประเภท 2 ซึ่งประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือวันที่ 4 เมษายน 2555 และภายใน 30 วันนับจากวันที่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้ ให้สถานพยาบาลที่ไม่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และไม่ประสงค์จะมีไว้ในครอบครองยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมเพื่อการบำบัดรักษา และร้านขายยาทุกแห่ง ดำเนินการจัดส่งยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมคืนให้กับผู้ผลิตหรือนำเข้า
นอกจากนี้ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 พ.ศ.2555 กำหนดให้การมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุ ออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 หากคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้ว มีไว้ในครอบครองในปริมาณมากเกินกว่าจำนวนที่กำหนด ต้องระวางโทษตามมาตรา 106 ทวิ รวม 18 รายการ
ทั้งนี้ประกอบด้วย วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 จำนวน 15 รายการดังนี้ 1.คาทิโนน(cathinone) 0.500 กรัม 2.ดีอีที(DET) 0.500 กรัม 3.ดีเอ็มเอชพี(DMHP) 0.500 กรัม 4.ดีเอ็มที(DMT) 0.500 กรัม 5.เมสคาลีน(mescaline) 0.500 กรัม 6.4-เมทิลอะมิโนเรกซ์(4-meyhylaminorex) 0.500 กรัม 7.พาราเฮกซิล (parahexyl) 0.500 กรัม 8.พีซีอี(PCE) 0.100 กรัม9.พีเอชพี หรือ พีซีพีวาย(PHP หรือ PCPY) 0.100 กรัม 10.ไซโลซีน(psilocine) 0.100 กรัม 11.ไซโลไซบีน (psilocybine) 0.100 กรัม 12.ทีซีพี(TCP) 0.100 กรัม 13.เตตราไฮโดรแคนนาบินอล(tetrahydrocannabinol) เว้นแต่เตตราไฮโดรแคนนาบินอล ซึ่งมีอยู่ในแคนนาบิส(cannabis) หรือยางกัญชา(cannabis rasin) ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ 0.100 กรัม 14.อีทริพตามีน(etryptamine) 0.500 กรัม และ 15.เมทคาทิโนน(methcathinone) 0.500 กรัม
ส่วนวัตถุ 2 ออกฤทธิ์ในประเภท ประกอบด้วย 1.อีเฟดรีน (ephedrine) 5.000 กรัม 2.ซูโดอีเฟดรีน (pseudoephedrine) 5.000 กรัม และ 3.คีตามีน (ketamine) 0.500 กรัม ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือวันที่ 4 เมษายน 2555 เป็นต้นไป
นายวิทยา กล่าวอีกว่า เป้าหมายของการออกประกาศกระทรวงทั้ง 2 ฉบับ ก็เพื่อเพิ่มมาตรการในการควบคุมสารซูโดอีเฟดรีนให้เข้มงวดมากขึ้น และจำกัดปริมาณการครอบครองสารซูโดอีเฟดรีน ให้มีได้ไม่เกินกี่กรัม เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องปฏิบัติได้ถูกต้อง ขอย้ำว่าซูโดอีเฟดรีน และยาทุกสูตรที่ผสมซูโดอีเฟดรีนไม่ใช่ยาเสพติด เป็นเพียงแค่ส่วนผสมเท่านั้น แต่เมื่อมีคนนำไปทำเป็นยาเสพติดชนิดต่างๆ ก็ต้องมีมาตรการในการควบคุมที่ชัดเจนและเข้มข้นขึ้น ซึ่งจะประชุมชี้แจงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย และ โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งคลินิกในวันที่ 4 เมษายน 2555


