อาวุธปราบจลาจล...?ยาขมประชาธิปไตยไทย
...อิทธิกร เถกิงมหาโชค
ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิด
“อาวุธปราบจลาจล” ยังคงถูกใช้จัดการปัญหาชุมนุมทางการเมืองทุกครั้งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าฝันร้ายจากเหตุสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ยังเป็นรอยด่างในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ถูกสังคมถามถึงความสมดุลระหว่างสิทธิการแสดงออกทางประชาธิปไตยกับการบังคับใช้กฎหมายบ้านเมือง“
แก๊สน้ำตา” รวมทั้งระเบิดควันที่ใช้กันอยู่ในหน่วยควบคุมฝูงชนยังสร้างข้อกังขาถึงความปลอดภัย เมื่อต้องถูกนำไปใช้ควบคุมมวลชนที่มาร่วมชุมนุม บทเรียนราคาแพงของ สตช. แม้แต่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ยังต้องกระเด็นตกเก้าอี้หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีสลายการชุมนุม รวมถึง พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในฐานะที่เป็น ผบ.เหตุการณ์โดนหางเลขไปด้วย!
กระสุนแก๊สน้ำตาที่หน่วยควบคุมฝูงชนใช้กันทุกวันนี้ แบบยิงเป็นขนาด 38 มม. ระยะยิงไกลสุด 150 หลา รัศมีกลุ่มควัน 10 เมตร หลังจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551 เป็นต้นมา แก๊สน้ำตาจากประเทศจีนก็ถูกสั่งโละพ้นคลังอาวุธทั้งหมด แก๊สน้ำตาล็อตใหม่ทั้งแบบยิงและแบบขว้าง ที่มีระยะไกลสุด 30 หลา เพื่อกระจายสารเคมีผงที่อยู่ภายใน จึงเน้นคุณสมบัติไม่มีการระเบิดของกลุ่มแก๊ส และผลิตจากสหรัฐอเมริกาเพื่อสร้างการยอมรับมากขึ้นจากประชาชน
วัตถุประสงค์หลักของการใช้ก็เพื่อขับไล่กลุ่มคนที่รวมตัวกันไม่ให้อยู่ในพื้นที่นั้นๆ หรือถอยออกไปจากพื้นที่ ซึ่งเป็นการควบคุมฝูงชนให้อยู่ในพื้นที่จำกัด การปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้คือการทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศ
น่าสังเกตอย่างยิ่งว่าตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา หน่วยความมั่นคงได้ให้ความสำคัญกับ
“อาวุธปราบจลาจล” เป็นพิเศษ แม้แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เองก็ยังทุ่มงบประมาณถึง 247 ล้านบาท เพื่อการนี้โดยเฉพาะเพื่อจัดซื้อโล่ใส กระบอง หมวกนิรภัย และชุดเกราะอย่างละ 9,750 ชิ้น ให้กับกองรักษาความสงบ กองทัพบก เป็นเงิน 248,771,250 บาทในจำนวนนี้ยังรวมถึงลูกระเบิดขว้างแก๊สน้ำตา 5,200 ลูก เครื่องยิงแก๊สน้ำตา 260 เครื่อง ลูกระเบิดยิงแก๊สน้ำตา 5,200 ลูก เสื้อสะท้อนแสง 1,300 ตัว กระสุนยาง 487,500 นัด ชุดสวมปากลำกล้องยิงกระสุนยางสำเร็จรูปเอ็ม88 จำนวน 3,250 อัน เครื่องยิงแหบุคคล 130 เครื่อง กระสุนยางสำหรับปืนลูกซอง (ชนิดทรงตัวด้วยหาง) 3.9 หมื่นลูก
ยิ่งในห้วงสถานการณ์ที่ส่อเค้าความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกทีในพื้นที่ กทม. และพื้นที่
“สีแดง” ทาง สตช.มีคำสั่งที่ 66/2553 จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) เพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้อง ที่ผุดขึ้นมากถึง 38 จังหวัดเป้าหมาย ขณะนี้ยังไม่มีทีท่าขยายพื้นที่พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ศปก.ตร.ให้สัมภาษณ์พิเศษ
“โพสต์ทูเดย์” ว่า ความเข้าใจระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาความเคลื่อนไหวที่กระทบต่อความสงบและความมั่นคงหลายด้านศปก.ตร.แห่งนี้ไม่ได้จัดตั้งขึ้นจำเพาะเจาะจงไว้รับมือ
“กลุ่มคนเสื้อแดง” แต่จัดตั้งไว้รองรับกับแนวโน้มความเคลื่อนไหวของ 3 กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย 1.การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง 2.ติดตามสถานการณ์ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ มีความเห็นไม่ตรงกับบางพรรคร่วมรัฐบาล และ 3.ปัญหาการชุมนุมในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.ต.ต.ประวุฒิ วิเคราะห์ว่าเมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้นทุกแห่ง สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจวิตกมากที่สุด คืออาจมี
“มือที่ 3” เข้ามาก่อกวนทำให้เกิดแนวโน้มความรุนแรงและบานปลายจนเกิดการควบคุม ศปก.ตร. จึงต้องประเมินสถานการณ์ทุกช่วง วันต่อวันก็ว่าได้ การทำงานจึงต้องพึ่งพาสื่อมวลชน และภาคสังคมและสร้างความเข้าใจร่วมกัน และยินดีอย่างยิ่งที่สื่อมวลชนช่วยสะท้อนภาพการทำงานของตำรวจทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความเข้าใจเรื่องสิทธิการชุมนุมโดยสงบ ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 63 ให้สิทธิเสรีภาพไว้ในที่ต่างๆ มากขึ้น แต่ผู้ชุมนุมไม่ว่ากลุ่มใด สีไหน ก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วย
การชุมนุมสามารถทำได้ แต่ต้องไม่รบกวนจนคนอื่นเดือดร้อนจนเกินไป เช่น การปิดถนน ปิดสถานที่ราชการ หรือบุกรุกทำลายทรัพย์สินราชการ ซึ่งเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน เจ้าหน้าที่เองก็พยายามเข้าใจ ใช้ความละมุนละม่อมเพื่อแก้ไขสถานการณ์
แม้ว่าบทเรียนจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551 ถือเป็น
“ฝันร้าย” สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยก็ว่าได้ แต่ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคือมีการปรับแผน “กรกฎ 48” มาเป็น “กรกฎ 52” เพื่อให้มีความเป็นสากลในการควบคุมการการชุมนุมเป็นการสร้างกติกา มีขั้นตอนที่ชัดเจน สร้างการยอมรับร่วมกันทั้งฝ่ายตำรวจและผู้ชุมนุม เพื่อความสงบเรียบร้อยภาพของ
“ตำรวจ” วันนี้สังคมยังติดภาพเป็น “คนเสื้อแดง” เหมือนกันทำให้ถูกปรามาสว่ากำลังเข้า “เกียร์ว่าง” ในการปฏิบัติงาน พล.ต.ต.ประวุฒิ ตอบคำถามนี้ว่า เรื่องแนวคิดคงไปควบคุมตำรวจทั้งประเทศไม่ได้ แต่คนเป็นตำรวจก็ต้องแยกแยะระหว่างหน้าที่กับความรู้สึกส่วนตัว ต้องแบ่งแยกกันชัดเจนเกียร์ว่างไม่ได้หากพบว่าผู้ชุมนุมกระทำผิดกฎหมายก็ต้องจับกุม ถึงจะรักใครเกลียดข้างไหนแต่เชื่อแน่ว่าตำรวจมีจิตสำนึกในฐานผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แน่นอน ตำรวจไม่เคยมองผู้ชุมนุมเป็นอาชญากร แต่พวกเขาก็คือประชาชนที่ต้องการเรียกร้องสิทธิของตนเอง
แนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ 38 จังหวัดเป้าหมาย จะระดมเจ้าหน้าที่สืบสวนหาข่าวติดตามพฤติการณ์บุคคล กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมและสนับสนุนการชุมนุมในพื้นที่ กทม.และภูมิภาค เพื่อกดดันป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่เหนือกว่าการเฝ้าระวังสถานการณ์ พล.ต.ต.ประวุฒิ ยืนยันว่าต้องคำนึงถึงชีวิตและความเสี่ยงต่อการสูญเสียของผู้ชุมนุม เป็นดุลพินิจคนละแบบกับการจับโจรผู้ร้ายที่กระทำความผิดซึ่งหน้าแบบอาชญากรรมตามปกติ
มุมมองการปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนในการชุมนุมประท้วง นโยบายหลักของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ คือการรักษาความสงบในการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ก็ต้องกำหนดแผนขั้นตอนในการปฏิบัติรองรับเมื่อเหตุการณ์ลุกลามจนกลายเป็นการจลาจล
พล.ต.ต.ประวุฒิ ย้ำว่า เจ้าหน้าที่ต้องมีการซักซ้อมความเข้าใจให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ โดยยึดถือ 3 หลักคือ 1.หลักเมตตาธรรม และเห็นว่าการชุมนุมประท้วงของประชาชนเกิดจากความเดือดร้อน ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือข้าราชการและพนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีความเดือดร้อน และมีความทุกข์ตามข้อเรียกร้องจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงก็ต้องให้การช่วยเหลือตามอำนาจหน้าที่
2.การดำเนินการตั้งแต่มีการชุมนุมโดยสงบไปจนกระทั่งเกิดการจลาจลนั้น ตำรวจเองให้ใช้มาตรการการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนัก และมีการประกาศขั้นตอนในการปฏิบัติการใช้อาวุธจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ต้องมีการแจ้งเตือนให้ผู้ชุมนุมทราบก่อน การใช้มือเปล่าจับล็อกเรื่อยไปจนถึงการใช้กระบอง เคาะโล่แสดงกำลัง การใช้กระสุนยาง ใช้น้ำฉีด และใช้แก๊สน้ำตา
3.การปฏิบัติทั้งหมดยืนหยัดภายใต้หลักกฎหมาย หากผู้ชุมนุมเรียกร้องใช้วิธีการรุนแรงโดยกระทำผิดกฎหมาย และเป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่น เจ้าหน้าที่จะใช้วิธีการเจรจาก่อน เสนอแนะให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือยังคงมีการกระทำที่ก้าวร้าวรุนแรงก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย อยู่ในระดับถ้อยทีถ้อยอาศัย และต้องมองว่าทุกคนเป็นผู้ร่วมชาติ
4.หากมีความจำเป็นต้องใช้กำลังสลายการชุมนุม หลังจากนั้นแล้วก็เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู ส่งตัวผู้บาดเจ็บ หรือดำเนินการต่างๆ ให้เกิดความปลอดภัยต่อบุคคล สถานที่ที่เกิดเหตุ และควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ประวุฒิ ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า หากประเมินแล้วว่าการปฏิบัติจะก่อเกิดความสูญเสียต่อผู้ชุมนุมตำรวจจะไม่ทำแน่นอน!
ยุทธวิธีของตำรวจที่เคยผิดพลาดมาแล้วจากการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม จนมีบางคนถึงขนาดแขนขาขาด คำว่า
“หลักสากล” จึงมีคำถามตามมาว่าปฏิบัติอย่างไรจึงเป็นเรื่องสากล และได้รับการยอมรับจากคนไทยด้วยกันแค่ไหน?พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (ผบก.อคฝ.) กล่าวว่า ตำรวจควบคุมฝูงชนผ่านการฝึกฝน มีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธพิเศษ เช่น การยิงกระสุนยาง แก๊สน้ำตาทั้งแบบยิงและแบบขว้าง จึงชำนาญมากกว่าตำรวจพื้นที่ที่ประกอบกำลังเฉพาะกิจมาเสริม บก.อคฝ. มีกำลัง 3 กองร้อย (450 นาย) รวมกำลังจากกองบังคับการตำรวจนครบาล (บก.น.) 19 อีก 3 กองร้อย (450 นาย) เพื่อรับมือการชุมนุมต่างๆ ตามแผน
“กรกฎ 52” ที่เพิ่งปรับปรุงหลังเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551ระดับการฝึกเน้นให้มีความรู้และฝึกความอดทนต่อการถูกกดดัน มีการจำลองสถานการณ์จริงที่มีการปิดล้อม แบบทดสอบต่างๆ ครูฝึกประยุกต์มาจากประสบการณ์จริง การเปลี่ยนแปลงจากแผน
“กรกฎ 48” มาเป็น “กรกฎ 52” เรียกขั้นตอนการปราบปรามใหม่เป็นขั้นตอนการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์ ที่มีคณะทำงานบริหารเหตุการณ์วิกฤตของ สตช. ร่วมในการตัดสินใจทุกขั้นตอน การปฏิบัติจึงไม่ใช่กระทำโดยพลการจุดแข็งนี้เองคือความพยายามลบภาพการขาดเอกภาพในการสั่งการ ขั้นตอนการสลายฝูงชนต้องมีผู้รับผิดชอบต่อการสั่งการ บทเรียนของ ผบ.เหตุการณ์ต้องมีความรู้ในการพูดแบบการทูต การเจรจาต่อรอง มีความอดทนอดกลั้นสูง ชำนาญในเรื่องจิตวิทยาฝูงชนและยุทธวิธี ผู้ปฏิบัติเองก็ต้องมีการฝึกควบคุมฝูงชน มีการฝึกทบทวน การฝึกสถานการณ์สมมติ


