posttoday

ดาวฤทธิ์ ทองนิ่ม นำคนรังสิตสู้น้ำ...อัดรัฐต้องไม่ล้มเหลวซ้ำ

17 ธันวาคม 2554

แม้น้ำจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ซากปรักหักพังยังทิ้งร่องรอยให้เห็นเกลื่อนกลาด ทั้งในหมู่บ้าน ชุมชน

แม้น้ำจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ซากปรักหักพังยังทิ้งร่องรอยให้เห็นเกลื่อนกลาด ทั้งในหมู่บ้าน ชุมชน

ตลอดจนสองข้างถนนอยู่ทั่วเมือง ซากเหล่านั้นสะท้อนถึง “ความล้มเหลว” ในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลอย่างมิอาจปฏิเสธ หนึ่งในแกนนำหมู่บ้านที่ตัดสินใจอยู่กับน้ำและต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อเช่นเดียวกับอีกหลายๆ หมู่บ้าน หลายพื้นที่ มีชื่อ ว่าที่ ร.ต.ดาวฤทธิ์ ทองนิ่ม ประธานนิติบุคคลหมู่บ้านฟ้าลากูน ย่านคลอง 2 แห่ง ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

ดาวฤทธิ์ พูดแบบฟันธงว่า เป็นประโยคแรกๆ ว่าการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในครั้งนี้เป็นการเลือกปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนออกมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่แสดงออกมาในภายหลัง “การบริหารน้ำด้วยการกั้นน้ำทั้งหมดแล้วไม่บริหารคน คนมันเดือดร้อนจากการบริหารน้ำของท่าน ท่านไม่ได้คิดถึงคนเหนือบิ๊กแบ็กตั้งแต่คลองสามวา คลองพระยาสุเรนทร์ คลองหกวาสายล่าง จึงมีการพังกระสอบทราย มีการขุดหูช้าง หรือเรียกร้องให้เปิดประตูน้ำเพิ่ม แม้แต่การรื้อบิ๊กแบ็กฝั่งถนนวิภาวดีรังสิต ก็เป็นปัญหาจากการจัดการน้ำที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเดือดร้อนอย่างไร ไม่ได้เข้าข่ายการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขด้วย

“เมื่อปี 2538 ที่บอกว่าท่วม ท่วมประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วน้ำหายไปเลย เราทุกคนเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันได้ มีวิธีการบริหารจัดการน้ำที่ดีและข้อมูลก็โปร่งใสว่าท่วมจริง แต่มาแค่ 2 สัปดาห์แล้วทุกคนใช้ชีวิตปกติได้ ทุกคนไม่เดือดร้อนเกินไป แต่ครั้งนี้บางส่วนในกรุงเทพฯ แห้งกิ๊กเลย บางส่วนท่วมแป๊บเดียว แล้วถามว่าคนเหนือบิ๊กแบ็กที่แช่น้ำอยู่เป็นเดือนในระดับน้ำเฉลี่ย 1.7 เมตร ท่านไม่ดูแล ผมถือว่าเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน”

“ทำให้คนกลับไปมองว่า คนไทยจริงๆ คือคนกรุงเทพมหานคร (กทม.) อย่างเดียวหรือที่เป็นคนไทย ที่สำคัญคือ ผู้ว่าฯ กทม. มักจะพูดเสมอว่า ถ้าปล่อยน้ำเข้ามา น้ำจะท่วม กทม.ชั้นใน ถ้ามาแล้วเดือดร้อน มูลค่าทางเศรษฐกิจเสียหายยับเยิน นี่คือวิธีการของท่าน ในขณะเดียวกันบึงพระราม 9 ที่มีเครื่องสูบน้ำมหาศาล ทุกวันนี้ยังไม่ได้ดูดน้ำเลย นี่คือการบริหารจัดการน้ำของท่าน ที่บอกว่าน้ำจะท่วม กทม.ชั้นในนี่แหละ”

ในฐานะคนรังสิต เขาแนะว่า แทนที่ กทม.จะนำเงินภาษีไปซื้อเครื่องสูบน้ำไว้สูบใน กทม. ควรจะนำเงินมาช่วยคนอยู่เหนือ กทม.ที่เป็นด่านหน้ารับน้ำแทนคน กทม.เพื่อให้พื้นที่ส่วนนี้เป็นเขื่อนที่แข็งแรงและระบายน้ำได้คล่องตัว ด้วยการนำเครื่องสูบน้ำมาสูบลงแม่น้ำเจ้าพระยาหรือผันน้ำไปทางแม่น้ำบางปะกง

“ถ้าท่านมาช่วยเรา เรารอด ท่านรอด แต่นี่ท่านมาใช้วิธีการบล็อกเฉพาะ กทม.เราไม่รอด ท่านรอด ท่านคิดหรือว่าความรู้สึกจากการจัดการบริหารน้ำที่ทำอยู่คน กทม.จะพอใจ เพื่อนผมทุกคนบอกมาเลยพร้อม ไปถามร้อยคน ทุกคนก็บอกว่าคุณปล่อยน้ำมาเลย ทำไมไม่มาเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ครึ่งหน้าแข้งทุกคนอยู่ได้”

“ที่คำปลอบใจขอบคุณคนปทุมธานีที่มีน้ำใจรับน้ำแทนคนกรุงเทพฯ ผมถือว่าคำพูดนั้นดูดี แต่ในมุมผมเป็นคำพูดที่เห็นแก่ตัวของคนพูด เพราะคุณไปสรุปแทนคนกรุงเทพฯ ได้ยังไง เพราะว่าคนกรุงเทพฯ บอกว่าปล่อยน้ำมาเลย เขายินดีจะเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกับคนที่รับน้ำแทนเขาและทุกข์ทนมานานแล้ว คุณอาจจะพูดดี แต่มันไม่ใช่เสียงของคนกรุงเทพฯ แน่นอน”

ในแง่โมเดลการรับมือในปีต่อๆ ไป ดาวฤทธิ์ บอกว่า จากบทเรียนคราวนี้รัฐบาลควรจะประกาศ พ.ร.บ.การบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้ทหารมีบทบาทในการดูแลจัดการ “แต่ปัญหาคือไปมองเรื่องการเมืองเยอะไป ท่านที่เคยสวมเสื้อสีแดงทั้งหลายเกรงว่าทหารจะมีอำนาจแล้วไม่กลับกรมกอง ก็เลยคัดค้านการประกาศ พ.ร.บ.นี้ ซึ่งความจริงมันมีประโยชน์ตรงที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหมือนอย่างที่รัฐบาลใช้ มาตรา 31 กับพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น ให้รื้อบิ๊กแบ็ก ทาง กทม.ก็ไปสั่งให้ตำรวจดูแลเมื่อมีปัญหา”

“ปัญหาปีหน้าเราก็จะมีอยู่ ถ้าน้ำมาเยอะมาแรงแบบนี้ ผมยืนยัน เพราะได้แต่สร้างภาพลักษณ์ แต่การบริหารไม่เด็ดขาด ผมว่าจะสร้างความเสียหายค่อนข้างเยอะ ก็อย่างที่หลายๆ คนบอกว่ารู้สึกไม่มั่นใจว่าปีหน้ามันจะมีการบริหารจัดการที่ดี คิดดูว่าแผนการบริหารหรือการดำเนินการของคณะกรรมการต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา ผมยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมเหมือนเดิม ตั้งคณะกรรมการเยอะแยะไปหมด แต่สุดท้ายจริงๆ คนที่บริหารจัดการจริงๆ กลับไม่มีและสุดท้ายก็จะเป็นแผนงานบนกระดาษที่คงจะไม่วันนำมาปฏิบัติได้จริง”

“ที่สำคัญก็คือถ้าเราปล่อยให้ทุกคนขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการที่ไม่เด็ดขาดของรัฐบาลในช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจ จะกลายเป็นว่าทุกคนต้องช่วยตัวเอง ปีนี้นิคมอุตสาหกรรมทั้งหลายสร้างเขื่อน สร้างกำแพง สร้างคันกั้นน้ำ สร้างทุกอย่างไม่ให้น้ำเข้ามาได้ ถ้าน้ำมาขนาดนี้อีกน้ำมันจะไหลเร็ว ไหลแรงแล้วก็สูงกว่าเดิม เพราะว่าพื้นที่มันน้อยลง เนื่องจากทุกคนกั้นหมด คนที่เดือดร้อนจริงๆ ก็ประชาชนอีก เพราะคุณไม่มีแผนอะไรชัดเจนเลย แล้วคนที่ป้องกันตัวเองไม่ได้มันจะกลับมาหนักกว่าเดิม

“ผมบอกเลยว่า ผมไม่มีความหวังกับการบริหารจัดการของรัฐบาลที่ไม่เด็ดขาดแบบนี้”

ดาวฤทธิ์ มองว่า ชุมชนและการปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทมากในการจัดการปัญหาของพื้นที่ตัวเอง เพราะมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด แต่ในปีนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางที่ก็มีปัญหา “คือทุกคนมีพื้นที่ที่ต้องดูแล เมื่อดูแลพื้นที่ของเราแล้วไปมีปัญหากับพื้นที่อื่นๆ ข้างเคียง เช่น เขื่อนติดคลองรังสิตที่ทำขึ้น 1.50 เมตร ตลอดแนว พอมาถึงหมู่บ้านเรา ซึ่งอาจจะไม่ใช่เขตพื้นที่หาเสียง เขื่อนดินกลับฟันหลอ ผมไม่เข้าใจว่ามันเป็นพื้นที่เดียวกันกับที่ท่านต้องรับผิดชอบหรือเปล่า ทำไมวิธีการป้องกันมันถึงแตกต่างกัน คิดหรือเปล่าว่าถ้าน้ำทะลักเข้ามาทางนี้ก็ท่วมเหมือนกันทุกคน”

ความหมายชัดเจนของ ดาวฤทธิ์ ก็คือ นักการเมืองท้องถิ่นก็ดูแลแต่พื้นที่หาเสียงของตัวเอง “อย่างของรังสิต ผมขอประทานโทษว่าท่านกู้ตลาดรังสิตกับกู้ตลาดสุชาติก่อนทำไม ผมไม่เข้าใจ ทั้งที่พื้นที่รอบนอกคุณยังท่วมอยู่ แม่ค้าเขาไปขายของไม่ได้ ลูกค้าเข้าไปซื้อของไม่ได้ ภาคการผลิตทั้งหลายที่จะต้องส่งเข้าไปขายในตลาดก็ยังทำไม่ได้ แต่ท่านกู้ก่อน เพราะว่ามันฐานเสียงของท่าน อันนี้เห็นได้ชัดเจนว่าการแก้ปัญหาของท้องถิ่นเองก็มีปัญหา”

อย่างไรก็ดีสำหรับหมู่บ้านฟ้าลากูนในปีหน้า ประธานหมู่บ้านบอกว่า “อย่างแรกที่ผมจะทำคงเป็นการติดตามข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ซึ่งจะต้องเปิดเผยอย่างโปร่งใส ถ้าน้ำจะท่วมในบริเวณนี้บอกให้ชัดว่าท่วมพื้นที่ไหน ท่วมเท่าไหร่ ระดับน้ำเท่าไหร่ และระยะเวลาที่จะท่วมนานแค่ไหน”

“ถ้าบอกชัดอย่างนี้ ผมบอกเลยว่ากระสอบทรายแม้แต่กระสอบเดียวเราก็จะไม่กรอก เราจะบอกทุกคนเลยว่าให้เตรียมอพยพ น้ำลดแล้วค่อยกลับมา”

ในแง่โครงสร้างพื้นที่ เขาบอกว่าตั้งใจจะเสริมกำแพงหมู่บ้านด้านฝั่งคลองให้สูงขึ้นไม่เกิน 1 เมตร เพื่อให้รับน้ำได้ ซึ่งคงต้องใช้งบประมาณพอสมควร แต่คงไม่สร้างสูงกว่านี้ เพราะหากน้ำสูงมากกว่านี้แรงดันจะมหาศาล “เราอย่าไปสู้ เราสู้ที่สู้ได้ ถึงเวลาต้องหนีก็ต้องหนี ถ้าเราไปสู้ประเภทแตกหักกันไป ผมว่าน้อยมากที่จะชนะธรรมชาติได้ เราต้องอยู่กับเขามากกว่า”

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ