posttoday

วิวาทะเรื่องอีเอ็มบอล

15 พฤศจิกายน 2554

ขณะที่ประชาชนพากันสิ้นหวังกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม อีเอ็มบอลกลายเป็นความหวังเล็กๆ

ขณะที่ประชาชนพากันสิ้นหวังกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม อีเอ็มบอลกลายเป็นความหวังเล็กๆ

โดย..นพ.วิชัย โชควิวัฒน 

กับการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย ทำให้มีการปั้นลูกอีเอ็มบอลกันขนานใหญ่ในศูนย์พักพิงหลายแห่ง และมีการนำไปใช้จนนายกรัฐมนตรีก็เอาไปหย่อนลงน้ำด้วย แต่แล้วกระแสอีเอ็มบอลก็ต้องชะงัก เมื่อ ธงชัย พรรณสวัสดิ์ นักรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาเบรกว่าอีเอ็มบอลน่าจะไม่ได้ผล ซ้ำร้ายอาจจะทำให้น้ำเน่าเสียเพิ่มขึ้น

คำทักท้วงของนักวิทยาศาสตร์ระดับดอกเตอร์อย่าง ธงชัย พรรณสวัสดิ์ ใครๆ ก็ต้องรับฟัง นอกจากเพราะประวัติผลงานที่มีมาต่อเนื่องยาวนานแล้ว เหตุผลก็ฟังดูมีน้ำหนัก โดย ธงชัย อธิบายว่า ลูกอีเอ็มบอล ปั้นจากหัวเชื้ออีเอ็มกับรำข้าวและกากน้ำตาล จะไปทำให้น้ำหายเน่าเสียได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นรำข้าวและกากน้ำตาลเป็นอินทรียวัตถุมีแต่จะทำให้น้ำเน่าเสียยิ่งขึ้น ที่สำคัญประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาก็ไม่เคยแนะนำให้ใช้อีเอ็มบำบัดน้ำเสีย

ฟังแล้วก็งง ไม่รู้จะเชื่อใครดี

จากการตรวจสอบข้อมูลและได้มีการประชุมอภิปรายเรื่องนี้ที่ “ศูนย์จัดการความรู้เพื่อแก้ปัญหาภัยพิบัติ” ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 8 พ.ย.นี้ ได้ข้อสรุปน่าสนใจที่สมควรเล่าสู่กันฟัง

อีเอ็ม ย่อมาจาก Effective Microorganism แปลว่า “จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิผล” หรือจุลินทรีย์ ที่มีประโยชน์

เมื่อพูดถึงเชื้อจุลินทรีย์ คนทั่วไปมักตกอยู่ภายใต้ “มายาคติ” (Myth) ของ “ทฤษฎีเชื้อโรค” (Germ Theory) ตั้งแต่ยุคหลุยส์ ปาสเตอร์ ที่พบว่า โรคภัยไข้เจ็บเกิดจากเชื้อโรคขนาดเล็กที่เรียกว่าเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้คนทั่วไปเมื่อคิดถึงเชื้อจุลินทรีย์จะคิดถึงเชื้อโรคเสมอ

วิวาทะเรื่องอีเอ็มบอล

 

ความจริงเชื้อจุลินทรีย์ หรือจุลชีวัน คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก มีอยู่ในธรรมชาติมากมาย ส่วนใหญ่มีประโยชน์ต่อมนุษย์และธรรมชาติ เช่น ในลำไส้ของเราจะมีเชื้อจุลินทรีย์ทำหน้าที่สร้างวิตามินให้แก่ร่างกายของเรา มีเชื้อจุลินทรีย์ไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ก่อให้เกิดโรค อย่างเชื้อ อีโคไล ที่ทำให้ท้องเสียก็เกิดจาก อีโคไล บางสายพันธุ์เท่านั้น อีโคไล หลายชนิดใช้ในกระบวนการผลิตยาและวัคซีน

ผู้ที่นำแนวคิดอีเอ็มเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยกลุ่มแรกๆ คือชาวญี่ปุ่น ซึ่งนำอีเอ็มเข้ามาพร้อมกับการเผยแพร่พุทธศาสนานิกายหนึ่ง กลุ่มนี้มีการพัฒนาอีเอ็มบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ มีการใช้อีเอ็มทั้งในการรักษาสุขภาพและในทางการเกษตรรวมทั้งการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ในเกาหลีมีการพัฒนาอีเอ็มเหมือนกัน แต่เรียกชื่อว่า “จุลินทรีย์ท้องถิ่น” (Indigenious MicroOrganism เรียกย่อๆ ว่า ไอโอเอ็มIOM) เน้นการพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์จากแต่ละท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์

ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาอีเอ็มมาใช้อย่างกว้างขวางในหลายรูปแบบ ที่แพร่หลายมากคือ น้ำหมักชีวภาพและลูกอีเอ็ม โดยใช้ทั้งเพื่อการรักษาโรค บำรุงสุขภาพ เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ต้านทานศัตรูพืช และรักษาสิ่งแวดล้อม

ในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมมีการนำอีเอ็มมาใช้อย่างกว้างขวาง คราวเกิดสึนามิคุณหมอพรทิพย์ก็นำไปใช้เพื่อลดกลิ่นเหม็นจากซากศพในวัดที่ใช้เป็นศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์ศพ เกษตรกรนำอีเอ็มไปใช้ในเล้าหมูจำนวนมาก บ่อเลี้ยงปลา ก็นำไปใช้แก้ปัญหาน้ำเสียในบ่อปลาได้ผลดี ผู้ที่พัฒนาลูกอีเอ็มโดยภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างแพร่หลายคนหนึ่ง คือ คุณเดชา ศิริภัทร แห่งมูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งนำหัวเชื้อมาจากป่าห้วยขาแข้ง ประโยชน์ของการนำหัวเชื้อมาจากในป่าเพราะปลอดจากสารเคมี

คุณนพดล มั่นศักดิ์ ผู้ประสานงานเครือ ข่ายโรงเรียนชาวนา จ.นครสวรรค์ ลูกศิษย์คุณเดชาคนหนึ่ง ใช้ลูกอีเอ็มบำบัดน้ำเสียในบ่อปลามานาน ได้ผลดี น้ำท่วม จ.นครสวรรค์ คราวนี้ ก็ใช้ลูกอีเอ็มไปช่วยบำบัดน้ำเสียตามชุมชน และในเมือง ช่วยให้น้ำที่เน่าเหม็น ใสและหายเน่าเหม็นได้เป็นที่ประจักษ์

ประเด็นสำคัญที่ลูกอีเอ็มจะได้ผลก็คือ 1) ใช้หัวเชื้อถูกต้อง 2) ผลิตลูกอีเอ็มอย่างถูกต้อง และ 3) นำไปใช้อย่างถูกต้อง

เรื่องหัวเชื้อถูกต้อง คุณชูเกียรติ โกแมน ผู้ประสานงานโครงการสวนผักในเมือง ซึ่งเรียนมาทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ สรุปว่าควรเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถย่อยสลายของเสียทั้ง 4 ชนิด นั่นคือสามารถผลิต เอนไซม์ได้ 4 ชนิด ได้แก่ 1) อมิเลส (Amylase) ย่อยแป้ง 2) โปรตีเอส (Protease) ย่อยโปรตีน 3) ไลเปส (Lipase) ย่อยไขมัน และ 4) เซลลูเลส (Cellulase) ย่อยเซลลูโลส ซึ่งเกิดจากซากพืชต่างๆ หัวเชื้อที่เกษตรกรใช้บำบัดน้ำเสียในบ่อปลา หรือที่คุณนพดลใช้บำบัดน้ำเสียที่ จ.นครสวรรค์ ย่อมใช้ใน กทม. ได้ เพราะน้ำเสียส่วนมากเกิดจากขยะและเศษอาหารนั่นเอง

ผลิตถูกต้องคือ ต้องบ่มให้นานพอ คือ ปั้นแล้วต้องผึ่งไว้อย่างน้อยสัก 12 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านั้นเพื่อให้หัวเชื้อกินอาหารคือ รำข้าวและกากน้ำตาล และแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเต็มที่ ถ้าปั้นแล้วเอาไปโยนน้ำเลย เชื้อจุลินทรีย์จะยังมีปริมาณน้อย และเศษรำข้าวกับกากน้ำตาลก็จะไปทำให้น้ำเสียยิ่งขึ้นอย่างที่ ธงชัย ว่า ข้อสำคัญ อย่าเอาไปตากแดดหรืออยู่ในที่ร้อนเกินไป เชื้อจุลินทรีย์จะไม่เติบโต หรือตายหมด

ใช้ถูกต้องคือ 1) ต้องใช้เพื่อบำบัดน้ำเสีย ใช้ป้องกันน้ำเสียไม่ได้ 2) ใช้ในน้ำนิ่ง ไม่ใช่ในน้ำไหล เพราะเชื้อจุลินทรีย์จะไม่มีเวลาย่อยสลายสิ่งสกปรกต่างๆ ได้นานพอ 3) ต้องกำจัดขยะและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ออกไปให้มากที่สุดเสียก่อน 4) ใช้ในที่น้ำลึกไม่เกิน 2 เมตร

ที่ไหนน้ำไหล ที่นั่นมีการบำบัดน้ำเสียตามธรรมชาติ โดยน้ำจะสัมผัสออกซิเจนได้มากขึ้นอยู่แล้ว

สรุปแล้ว อีเอ็มบอลใช้บำบัดน้ำเสียได้ แต่ต้องทำจากหัวเชื้อที่เหมาะสม ทำอย่างถูกต้อง และใช้อย่างถูกต้อง

 

ข่าวล่าสุด

Samsung ผนึก Google Gemini เผยโฉมครัว AI สุดล้ำที่ CES 2026