ขั้นตอนกฎหมาย หลังปิดฉากคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ"
"ธง"ผลการพิพากษา“คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอ่านตามทางกฎหมายแล้วผลของคดีนี้จะ “แพ้ชนะ” บน 3 แนวทาง 1. “ยกฟ้อง” เท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายชนะ 2. “ยึดทรัพย์ทั้งหมด” เท่ากับ นายจุลสิงห์ วสันตสิงต์ อัยการสูงสุดเป็นฝ่ายชนะ และ 3. “ยึดทรัพย์บางส่วน” เท่ากับ อดีตนายกรัฐมนตรีและอัยการสูงสุด วิน-วิน
"ธง"ผลการพิพากษา“คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอ่านตามทางกฎหมายแล้วผลของคดีนี้จะ “แพ้ชนะ” บน 3 แนวทาง 1. “ยกฟ้อง” เท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายชนะ 2. “ยึดทรัพย์ทั้งหมด” เท่ากับ นายจุลสิงห์ วสันตสิงต์ อัยการสูงสุดเป็นฝ่ายชนะ และ 3. “ยึดทรัพย์บางส่วน” เท่ากับ อดีตนายกรัฐมนตรีและอัยการสูงสุด วิน-วิน
อย่างไรก็ตาม หากผลของคดีออกมาเป็นผลร้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตกเป็นฝ่ายแพ้และไม่ว่าจะแพ้แบบหมดรูปโดยถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือแพ้แบบมีที่ยืนคือ ได้คืนเงินกลับบ้านบางส่วนก็ตาม กฎหมาย
วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีโอกาสต่อสู้อีกหนึ่งครั้ง
โดยกฎหมายกำหนดให้ “จำเลย” สามารถหาพยานหลักฐานใหม่มายื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ภายใน 30 วัน หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นอุทธรณ์ ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา กำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาประชุมเพื่อเลือก “ผู้พิพากษาศาลฎีกา” 5 คน ขึ้นเป็นองค์
คณะทำหน้าที่ไต่สวนพยานหลักฐานใหม่ที่ว่านั้นว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ตามเงื่อนไขกฎหมายหรือไม่ หากเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยต่อสู้กันในศาล มาก่อนที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะรับอุทธรณ์นั้นไว้พิจารณาตัดสิน และไม่ว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะตัดสินออกมาเป็นอย่างไรให้ถือว่า “คดีถือเป็นที่สุด”
สำหรับสิทธิในการอุทธรณ์ ตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้ให้อำนาจ ฝ่าย “อัยการสูงสุด”อุทธรณ์ โดยจัดให้เป็นสิทธิของฝ่ายจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ดังนั้นถ้าพ.ต.ท.ทักษิณชนะคดี อัยการสูงสุดจะไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเหมือนฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณจำเลย ผลเท่ากับคดีถือเป็นที่สุด
แต่สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องเผชิญอีกหากตกเป็นฝ่ายแพ้ก็คือ “คดีอาญา” ที่เกี่ยวพันกับข้อกล่าวหาที่บรรจุอยู่ในคดียึดทรัพย์ และค้างอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (เอ็กซ์ซิมแบงก์) ปล่อยเงินกู้ประเทศพม่า 4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ เมื่อศาลมองว่าการปล่อยกู้ประเทศพม่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบแสวงประโยชน์เพื่อตนเองก็จะทำให้คดีเอ็กซ์ซิมแบงก์“มีน้ำหนัก” ทำให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงโทษ พ.ต.ท.ทักษิณในส่วนของคดีอาญาได้
นอกจากนั้นยังจะต้องถูกดำเนินคดีฐานปกปิดทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จากการ“ซุกหุ้น”ชินคอร์ปไว้กับคนในครอบครัวผ่านกลไกต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในสำนวนคดียึดทรัพย์ สุดท้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังต้องเผชิญกับ “คดีอาญา” ที่ค้างอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่นคือ คดีหวยบนดิน ที่ศาลจำหน่ายคดีไว้ระหว่าง
ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนี ซึ่งตามกฎหมายศาลจะมีอำนาจหยิบคดีขึ้นมาพิจารณาได้หากคดีนั้นยังไม่ขาดอายุความ
สำหรับระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้ออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551”
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3 ในระเบียบนี้อุทธรณ์ หมายความว่า อุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ได้ยื่นต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาผู้พิพากษา หมายความว่า ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
ผู้ต้องคำพิพากษา หมายความว่า ผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้รับโทษในทางอาญา ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ให้พ้นจากตำแหน่ง หรือต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญ
พยานหลักฐานใหม่ หมายความว่า พยานหลักฐานที่ยังไม่เคยปรากฏอยู่ในสำนวนคดีที่ผู้ต้องคำพิพากษาได้ยื่นอุทธรณ์ตามระเบียบนี้ แต่ทั้งนี้พยานหลักฐานใหม่ย่อมไม่รวมถึงการกลับคำให้การของพยานในคดี
ข้อ 4 พยานหลักฐานใหม่ที่จะยกขึ้นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานั้นจะต้องเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญและผู้ต้องคำพิพากษาไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ว่าพยานหลักฐานดังกล่าวมีอยู่และจะต้องนำมาแสดงเพื่อประโยชน์ของตน ทั้งหากรับฟังพยานหลักฐานใหม่เช่นว่านั้นแล้วจะทำให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องหรือยกคำร้องได้
ข้อ 5 ในกรณีที่มีพยานหลักฐานใหม่ ผู้ต้องคำพิพากษาอาจยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ข้อ 6 การอุทธรณ์ตามระเบียบนี้ให้ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพร้อมด้วยสำเนา โดยอุทธรณ์จะต้องทำเป็นหนังสือใช้ถ้อยคำสุภาพและอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(1) รายละเอียดโดยชัดแจ้งเกี่ยวกับพยานหลักฐานใหม่
(2) สาเหตุที่ไม่อาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงต่อศาลในชั้นพิจารณา
(3) เหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่าหากรับฟังพยานหลักฐานใหม่เช่นว่านั้นแล้วจะทำให้ข้อเท็จจริงใดเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
(4) ลายมือชื่อของผู้อุทธรณ์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์อุทธรณ์
ข้อ 7 เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้รับอุทธรณ์แล้วให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์หรือผู้ร้องทราบเพื่อให้แก้อุทธรณ์ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ ถ้าได้รับคำแก้อุทธรณ์หรือพ้นกำหนดดังกล่าวแล้วแต่ไม่มีคำแก้อุทธรณ์ก็ให้รวบรวมถ้อยคำ
สำนวนส่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต่อไปให้นำความในข้อ ๖ มาใช้แก่การทำคำแก้อุทธรณ์โดยอนุโลม
ข้อ 8 ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกผู้พิพากษาห้าคนเป็นองค์คณะทำหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ที่ได้ยื่นต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามระเบียบนี้ แต่ทั้งนี้องค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าวจะต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์
ให้องค์คณะที่ได้รับเลือกตามวรรคหนึ่งตกลงกันว่าจะให้ผู้พิพากษาคนใดในองค์คณะทำหน้าที่เป็นเจ้าของสำนวนถ้าผู้พิพากษาคนใดในองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ที่ได้รับมอบหมายไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกผู้พิพากษาคนอื่นทำหน้าที่แทนต่อไป
ให้องค์คณะผู้พิพากษาเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหนึ่งคนทำหน้าที่เป็นเลขานุการองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์
ข้อ 9 องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์มีหน้าที่ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยระเบียบนี้ ที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่
กรณีที่เป็นการจำเป็น องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์อาจไต่สวนให้ได้ความจริงอย่างหนึ่งอย่างใดในเรื่องที่เกี่ยวกับอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาเสียก่อนก็ได้ ในกรณีที่มีการไต่สวนให้แจ้งวันนัดไต่สวนให้ผู้ต้องคำพิพากษาและโจทก์หรือผู้ร้องทราบล่วงหน้าก่อนวันนัดไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
ข้อ 10 เมื่อองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ได้ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เสนอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อจัดให้มีการลงมติว่าจะรับอุทธรณ์ไว้พิจารณาหรือไม่ ถ้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติว่า เป็นอุทธรณ์ที่ชอบก็ให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา
ข้อ 11 เมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณาแล้ว ให้องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ตามข้อ ๘ ทำหน้าที่เป็นองค์คณะไต่สวนรวบรวมข้อเท็จจริงเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยถ้าเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอื่น อันเกี่ยวกับ
ประเด็นในคดีมาไต่สวนเพิ่มเติม ให้องค์คณะไต่สวนทำการไต่สวนพยานหลักฐานซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะเรียกพยานที่ไต่สวนมาแล้วมาไต่สวนใหม่ด้วยโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอเมื่อองค์คณะไต่สวนได้รวบรวมข้อเท็จจริงแล้วให้ส่งให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาล่วงหน้าก่อนวันลงมติไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
ให้นำความในข้อ 8 ข้อ 9 และข้อ 10 มาใช้บังคับกับการดำเนินการขององค์คณะผู้พิพากษาตามข้อนี้โดยอนุโลม
ข้อ 12 ผู้พิพากษาซึ่งเป็นหรือเคยเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีที่ผู้ต้องคำพิพากษาได้ยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในเรื่องที่เกี่ยวกับอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาตามระเบียบนี้
ข้อ 13 ในวันลงมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้ผู้ต้องคำพิพากษาพร้อมทั้งโจทก์หรือผู้ร้องมายังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ในกรณีผู้อุทธรณ์เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้ได้รับโทษทางอาญา เมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ลงมติแล้ว ให้แจ้งผลของการลงมติให้ผู้ต้องคำพิพากษา และโจทก์ทราบในวันเดียวกันกับที่ได้มีมติถ้าเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่มา หากเห็นเป็นการสมควร ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะลงมติโดยโจทก์ไม่อยู่ก็ได้
ในกรณีที่ผู้ต้องคำพิพากษาไม่อยู่โดยไม่มีเหตุสงสัยว่าหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟัง ก็ให้ที่ประชุมใหญ่เลื่อนการประชุมไปจนกว่าผู้ต้องคำ พิพากษาจะมาศาล แต่ถ้ามีเหตุสงสัยว่าผู้ต้องคำพิพากษาหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟัง ให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องคำพิพากษา และเมื่อได้ออกหมายจับแล้วยังไม่ได้ตัวผู้ต้องคำพิพากษาภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันออกหมายจับ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่
ศาลฎีกาลงมติไปได้และถือว่าผู้ต้องคำพิพากษาได้ทราบมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้วมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้มีผลเท่ากับเป็นการพิพากษาหรือออกคำสั่ง โดยให้องค์คณะไต่สวนเป็นผู้แจ้งหรืออ่านผลของมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้คู่ความทราบ ส่วนรายละเอียดของมติที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาให้ดำเนินการจัดทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งในภายหลัง แต่ทั้งนี้จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสิบห้าวันนับแต่วันลงมติ
ในกรณีอื่น ถ้าคู่ความทุกฝ่ายไม่มาศาล ในวันลงมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะให้งดการแจ้งหรืออ่านผลมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็ได้
ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา มีอำนาจออกหมายหรือคำสั่งใด ๆ ตามที่เห็นสมควรเพื่อบังคับให้เป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
ข้อ 14 คำพิพากษาหรือคำสั่งตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์หรือองค์คณะไต่สวนเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้วแต่กรณีให้ส่งคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ทำให้คดีถึงที่สุดไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาพร้อมทั้งติดประกาศไว้ที่ศาลฎีกา
ข้อ 15 ให้นำข้อบังคับการประชุมใหญ่ศาลฎีกา มาใช้บังคับแก่การพิจารณาอุทธรณ์ตามระเบียบนี้โดยอนุโลม


