เหยื่อน้ำท่วมปากน้ำโพชีวิตหมดสิ้น...แต่ไม่ท้อพร้อมลุกขึ้นสู้อีกเฮือก
น้ำท่วมปีนี้ถือว่าเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่และร้ายแรงที่สุด สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้แก่พี่น้องชาวปากน้ำโพ
โดย...สายอรุณ ปินะดวง
น้ำท่วมปีนี้ถือว่าเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่และร้ายแรงที่สุด สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้แก่พี่น้องชาวปากน้ำโพ หรือ จ.นครสวรรค์ เดือดร้อนนับแสนชีวิตตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ผ่านไปแล้ว 2 เดือน แต่ระดับน้ำ “เจ้าพระยา” ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้แต่อย่างใด ทำให้ประชาชนเรือนพันเรือนหมื่นต้อง “หนีน้ำ” อพยพขนสิ่งของที่จำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวกันจ้าละหวั่น หลังมวลน้ำเหนือมหาศาลไหลเอ่อบ่าทลายแนวกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่สูง 3-4 เมตร ทะลักเข้าท่วมเมืองปากน้ำโพจมใต้บาดาลฉับพลัน
ครอบครัวไหนที่มีบ้าน 2 ชั้น ต่างฉกฉวยสิ่งของมีค่าเท่าที่ไขว่คว้าได้นำไปเก็บไว้ชั้น 2 ส่วนครอบครัวไหนที่อาศัยอยู่บ้านชั้นเดียวถูกน้ำท่วมเสียหายยับ และวินาทีนั้นหลายๆ ครอบครัวที่ตั้งสติได้คือจูงมือลูกหลานวิ่งหนีฝ่ากระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากกระหน่ำเข้าใส่บ้านอย่างไม่ยั้ง โดยอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เช่น บนถนน
กว่าจะได้อพยพไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวก็ต้องรอหลายวัน เนื่องจากทางหน่วยงานราชการเองก็ไม่ได้เตรียมศูนย์อพยพไว้ล่วงหน้า เพราะหน่วยงานภาครัฐเองก็ไม่มีใครคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่ามวลน้ำภาคเหนือจะถล่มปากน้ำโพจนเศรษฐกิจพังพินาศได้เช่นนี้ เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต ทำให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่างเกิดความเครียดและนอนไม่หลับ ผวาน้ำทะลักท่วมซ้ำ
“นอนไม่ค่อยหลับค่ะ เพราะมันเครียดมากค่ะ” น้ำเสียงบอกเล่าปนความทุกข์ของ มานัตร์ หมีสิน วัย 42 ปี ชาว ต.บึงเสนาท อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ที่มารับบริการคลินิกประชาบดี ภายในศูนย์อพยพโรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม ระบายให้ฟังว่า ตอนนี้รู้สึกเครียดมากที่สุดในชีวิต เพราะทั้งบ้าน ที่ดินทำกิน นาบัว สวนดอกมะลิ ดอกพุด เสียหายไปหมดเลย น้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงฉับพลัน เอาชีวิตรอดมาได้ก็บุญแล้ว เพราะช่วงนั้นตั้งสติได้ก็หอบลูกวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างเดียว เงินติดตัวแม้แต่บาทเดียวก็ไม่มี ปล่อยลอยไปกับกระแสน้ำ
“ช่วงนั้นเหลียวไปมองบ้านถูกน้ำท่วมจมเกือบมิดหลังคา ทำให้ใจโหวงเหวงจนบอกไม่ถูก น้ำพัดพาอะไรๆ ในชีวิตเราไปจนหมดเลย ทำให้เครียด ไม่มีรายได้มา 2 เดือนแล้ว ทำให้เครียดหนักไปใหญ่ ก่อนหน้านี้เคยมีรายได้วันละ 600-2,000 บาท น้ำมาทุกอย่างต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หลังจากน้ำลดกลับเข้าสู่ภาวะปกติค่อยว่ากันใหม่ และจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด ตอนนี้ก็ทำใจได้แล้ว”
มานัตร์ ย้อนเหตุการณ์วันวิปโยคเมื่อต้นเดือน ก.ย.ให้ฟังอีกว่า น้ำท่วมครั้งนี้ถือว่าโชคดีอยู่บ้าง วันที่น้ำจำนวนมากไหลทะลักท่วมเป็นช่วงเวลากลางวัน แต่หากเกิดช่วงกลางคืนอาจจะมีหลายครอบครัวจมน้ำเสียชีวิตเพราะหนีไม่ทัน ซ้ำไม่มีสัญญาณเตือนภัย ช่วงนั้นระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ค่อยๆ ขึ้นก่อนที่จะพังแนวกั้นไหลบ่าทะลักอย่างรวดเร็ว แม้ว่าบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงจากระดับดินถึง 3 เมตร แต่ไม่รอดน้ำท่วมเกือบมิดหลังคา ทำให้ขนย้ายสิ่งของมีค่าไม่ทัน ต้องย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ศูนย์นานนับเดือนแล้ว ยังไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน เพราะน้ำยังไม่ลดลงกลับสู่ภาวะปกติ
เช่นเดียวกับ ออฟ ลูกชายคนเล็กวัย 3 ขวบของ มานัตร์ ที่แม้ว่าอยู่ที่ศูนย์สะดวกสบาย อาหารการกินไม่อดอยาก แต่ยังขาดแคลนของใช้ส่วนตัวที่อยากได้มากที่สุดตอนนี้ คือ แป้งเด็ก ครีมอาบน้ำเด็ก กระเป๋าสะพาย ที่สำคัญอยากกลับไปอยู่บ้าน เพราะอยู่ที่นี่นานแล้วรู้สึกคิดถึง
พรรัตน์ เอี่ยมคล้าย อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/12 ถนนโกสีใต้ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เล่าว่า อาศัยอยู่ในบ้านเช่าในชุมชนภายในตัวเมืองนครสวรรค์ ทำอาชีพรับจ้างรายวันและเลี้ยงลูกน้อย เมื่อบ้านถูกน้ำท่วมต้องอพยพมาอยู่ที่ศูนย์อพยพ ลูกน้อยก็ไม่ค่อยสบาย เพราะอากาศเย็นเริ่มมาเยือนแล้ว ตอนนี้อยากกลับบ้านมาก เป็นห่วงบ้าน แต่ก็ยังไปไม่ได้...ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัน
ณัฐพร ก้อนทอง อายุ 19 ปี บอกว่า บ้านของเธอเป็นอาคาร 2 ชั้น อยู่ในเมือง ถูกน้ำท่วมชั้นแรกจนอยู่ไม่ได้ ข้าวของก็ต้องเก็บขึ้นชั้น 2 เท่าที่จะสามารถเก็บขึ้นไปได้ ก็เก็บให้ได้มากที่สุด เพราะกลัวจะถูกน้ำท่วมเสียหาย หลังน้ำลดคงจะต้องรีบกลับไปเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่เลย ที่สำคัญกลัวจะมีพวกสัตว์มีพิษหนีน้ำมาอาศัยอยู่ในบ้าน ต้องทำความสะอาดให้ละเอียด และจะต้องฟื้นฟูซ่อมแซมบ้านบางส่วนซึ่งคาดว่าจะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเหมือนกัน ดังนั้นหลังน้ำลดถ้าได้ความช่วยเหลือด้านการซ่อมแซมบ้านก็จะดีมาก
ศิริวรรณ ศรีคำ อายุ 8 ขวบ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดนิเวศวุฒาราม ต.บางม่วง อ.เมืองนครสวรรค์ เล่าระหว่างรับประทานมาม่าซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตของผู้อพยพในศูนย์โรงเรียนนวมินท์ฯ ว่า มาอยู่ที่ศูนย์นานเกือบ 2 เดือนแล้ว ไปโรงเรียนไม่ได้ ทำให้คิดถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ซึ่งทุกคนก็เผชิญชะตากรรมลำบากเช่นกัน ก็อยากให้น้ำลดลงเร็วๆ จะได้กลับบ้าน และอยากกลับไปเรียนหนังสือตามปกติ
น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้กระทบจิตใจชาว จ.นครสวรรค์ อย่างหนัก โชคดีที่คนไทยร่วมมือร่วมใจเอื้อเฟื้อยื่นมือให้ความช่วยเหลือไม่ขาดสาย แต่หลังน้ำลดพวกเขาเหล่านี้จะต้องกลับบ้าน และต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ซ่อมแซมบ้านเรือน” ที่ถูกน้ำท่วมพังเสียหายหมด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาแหล่งทุนได้ที่ไหน เพราะทุนเก่าถูกนำมาใช้ในระหว่างที่ไม่มีรายได้ในช่วงที่หนีน้ำจนหมดแล้ว...
“หากเป็นไปได้พวกเราอยากได้ทุนสักก้อนที่จะเพียงพอมาประกอบอาชีพเริ่มต้นอีกครั้ง อาจจะเริ่มต้น 2–3 หมื่นบาทก็ได้” นี่คือเสียงสะท้อนของชาวบ้านที่เดือดร้อนจากน้ำท่วมถึงรัฐบาลให้ช่วยชุบชีวิตกลับมาเริ่มต้นใหม่


