ล้อมคอก Roger Trader บทเรียนที่ต้องจำก่อนมีเหยื่อรายต่อไป
ตลาดการเงินโลกต้องตกอยู่ในความระส่ำระสายอีกครั้ง ทันทีที่ได้รับรู้ว่า ยูบีเอส
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
ตลาดการเงินโลกต้องตกอยู่ในความระส่ำระสายอีกครั้ง ทันทีที่ได้รับรู้ว่า ยูบีเอส ธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ ที่อยู่ของสกุลเงินสวิสฟรังก์ หนึ่งในแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก คิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 2.28 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.9 หมื่นล้านบาท)
สาเหตุสำคัญของเหตุอื้อฉาวในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยพฤติกรรมไม่ชอบของ คเวคูอาโดโบลี วัย 31 ปี ผู้อำนวยการฝ่ายกองทุนรวม ของธนาคารประจำกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งดำเนินการซื้อขายหุ้น โดยไม่ได้รับอนุญาต (Rogue Trading)
เป็นการกระทำที่ทำให้ธนาคารยูบีเอสแทบกระอัก เพราะก่อนหน้านี้ เพิ่งจะประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนักในช่วงวิกฤตการเงิน และเศรษฐกิจโลกถดถอย ทำให้ต้องรับการช่วยเหลือจากรัฐบาล จนทำให้พอที่จะประคองตัวรอดปลอดภัยมาได้
แต่จากผลกำไรในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 ที่ลดลงถึงร้อยละ 30 ส่งผลให้ธนาคารต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการประกาศปลดพนักงานออกกว่า 3.5 หมื่นตำแหน่ง ทำให้สถานะของธนาคารจึงไม่ใคร่จะสู้ดีเท่าไรนัก
สถานการณ์กลับเลวร้ายหนักข้อขึ้น เพราะเหตุฉาวผลักดันให้หุ้นของบริษัทปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ก.ย. ร่วงลงไปถึง 10.8% ปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2552 ขณะที่ มูดี้ส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกที่แม้จะเชื่อว่ายูบีเอสมีเงินทุนมากพอ และมีสภาพคล่องที่ดีที่จะรอดพ้นวิกฤตนี้ แต่การปล่อยให้ลูกจ้างในองค์กรกระทำการเหยียบจมูกได้ ก็ส่งผลกระเทือนต่อความเชื่อมั่นในความสามารถของระบบตรวจสอบและการบริหารจัดการของธนาคาร
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายจึงพากันลงความเห็นว่า เงินที่สูญไปไม่ได้สร้างความเสียหายให้มากเท่ากับความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อธนาคารได้หมดไป และอาจต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะฟื้นสถานภาพที่เชื่อถือของธนาคารให้กลับคืนมาอีกครั้ง
และกลายเป็นคำถามสำหรับธนาคารทั่วโลกว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องล้อมคอกป้องกันอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ทั้งนี้ เพราะสำหรับบรรดานักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญแล้ว หากพูดถึงการซื้อขายโดยมิชอบ หรือ Rogue Trading นี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในระบบตลาดการเงินสมัยใหม่ของโลกทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับราคาของผลผลิตมากกว่ามูลค่าที่แท้ของผลผลิต ที่ทำให้เกิดสินค้าการเงินใหม่ๆ อย่างตลาดอนุพันธ์ ซึ่งเล่นกับการเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย กับกึ๋นและเก๋าของนักค้า
นักค้า หรือเทรดเดอร์ คือ คนที่คอยทำหน้าที่ซื้อขายทรัพย์สินทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ตามตลาดทางการเงินต่างๆ โดยสามารถทำงานอยู่ตามสถาบันทางการเงิน บริษัทเอกชน หรือนักลงทุนบุคคล
ความรู้ด้านการวิเคราะห์ที่ดีเลิศ การคาดการณ์ที่แม่นยำ กลยุทธ์การลงทุนที่แยบยลแบบถูกจังหวะเวลา และสามารถประเมินต้นทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทน คือหัวใจสำคัญที่ทำให้นักค้าแต่ละคนประสบความสำเร็จ
เรียกได้ว่า นักค้าชั้นเซียน ก็คือตัวทำกำไรมหาศาลให้กับองค์กร โดยยิ่งทำเงินให้มากเท่าไร ก็จะยิ่งได้รับความนับถือและไว้วางใจมากเท่านั้น ซึ่งนักค้าที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็เช่น จอร์จ โซรอส หรือวอร์เรน บัฟเฟตต์
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่านักค้าทุกคนจะมือขึ้นได้ตลอด เพราะการเก็งกำไรก็คือการเล่นกับความเสี่ยง ยิ่งถ้าเสี่ยงแล้วเสีย ความรู้ความสามารถของนักค้าก็อาจก่อให้เกิดอันตรายมหาศาลเช่นกัน
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2538 โลกทุนนิยมได้รู้จักกับคำว่า Rogue Trader เป็นครั้งแรกด้วยฝีมือของ นิค ลีสัน อดีตผู้จัดการส่วนปฏิบัติการในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราของสิงคโปร์ ของธนาคารแบริง ประเทศอังกฤษ
ด้วยวัยเพียง 26 ปี ลีสัน สามารถทำกำไรให้กับแบริงมากกว่า 10 ล้านปอนด์ หรือเกือบ 10% ของกำไรสุทธิของธนาคารแบริงในปี 2536 จากการซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้น
ทว่า เมื่อหนึ่งในลูกทีมทำพลาดให้บริษัทขาดทุนไป 2 หมื่นปอนด์ ลีสันก็เลือกที่จะแก้ไขโดยการสร้างลูกค้าปลอมขึ้นมาและนำเงินของธนาคารไปลงทุนในตัวนั้น
แม้ว่า หนแรกจะทำให้ยอดขายกระฉูดเป็นล้านปอนด์ และช่วยให้ลีสันได้จังหวะนำเงินพร้อมกำไรคืนมาได้ จนทำให้ลีสันย่ามใจทำแบบเดียวกันซ้ำๆ แต่โชคไม่เข้าข้าง และขาดทุนหนักขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ลีสันก็ไม่ยอมหยุด และยิ่งปกปิด พร้อมขออนุมัติวงเงินจากธนาคารว่าจะลงทุนเพิ่มถึงขั้นปลอมแปลงเอกสารขึ้นมา และความไว้ใจ ทำให้ธนาคารเลือกที่จะไม่ตรวจสอบเอกสารใดของลีสันแม้แต่น้อย และนั่นยิ่งเป็นช่องว่างให้ลีสันลงมือทำการได้อย่างสะดวกโยธิน
จุดสิ้นสุดของลีสัน อยู่ที่เหตุแผ่นดินไหวอย่างหนักที่สุดในเมืองโกเบ ญี่ปุ่นในปี 2538 ที่ทำให้หุ้นและตลาดต่างๆ ร่วงระนาว ความผิดพลาดของลีสันก็ได้รับการเปิดเผยด้วยผลสรุปที่ว่า ธนาคารแบริงขาดทุนกว่า 850 ล้านปอนด์ (ราว 4.25 หมื่นล้านบาท) จนธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษไม่สามารถคงสถานะไว้ได้ ต้องล้มละลายและจบลงโดยถูก ดัชท์ แบงก์ไอเอ็นจี ซื้อไปในราคาแค่ 6 ปอนด์
บทเรียนในครั้งนั้น ทำให้ธนาคารต่างๆ มีมาตรการดำเนินการตรวจสอบที่รัดกุมมากขึ้น แต่คงไม่มากพอ เพราะในปี 2551 Rogue Trader ได้เกิดขึ้นอีกราย คือ เจอร์โรม เคอร์วิล นักค้าในตลาดซื้อขายล่วงหน้าของธนาคารโซซิเอเต เจเนอราล ธนาคารรายใหญ่อันดับสองของฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ธนาคารสูญเงินไปราว 7,150 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.16 แสนล้านบาท) และแทบเอาตัวไม่รอด และล่าสุดกับ อาโบโดลี นักค้าของยูบีเอส
ธนาคารที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นเพราะเป็นธนาคารที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งและมีระบบที่ได้รับการยอมรับว่าปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งจนคนเกือบค่อนโลกไว้วางใจที่จะฝากเงินไว้
ไม่ว่าจะเพราะความย่ามใจ หรือถือดีในระบบที่มีอยู่ก็ตาม แต่อาการเจ็บแต่ไม่จำของธนาคารที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทำให้บรรดาธนาคารทั้งหลายเริ่มตื่นตัวถึงมหันตภัยร้ายแรงของ Rogue Trader ในที่สุด
ทั้งนี้ เหล่าผู้บริหารของธนาคารเริ่มหันหน้าเข้าหารือกันอย่างจริงจัง โดยประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ลิ้มรสชาติก่อนใคร ได้เริ่มงัดมาตรการออกมาใช้ หนึ่งในนั้นก็คือ การล้อมรั้ว (Ring Fence)
วิธีการดังกล่าวก็คือ การแยกการลงทุน หรือโครงการใดๆ ที่มีความเสี่ยงออกจากการฝากเงิน การกู้ยืม หรือการจำนอง ซึ่งเป็นธุรกรรมปกติของธนาคารโดยสิ้นเชิง เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ธนาคารเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ซึ่งรวมถึงการสาขาของธนาคารพาณิชย์รายย่อยให้มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างและเป็นเอกเทศจากบริษัทแม่
ทว่า วิธีการข้างต้นที่นำเสนอโดย จอห์น วิกเกอร์ส อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ อิงแลนด์ ก็ยังมีหลายฝ่ายที่เห็นว่าไม่น่าจะรีบผลีผลาม และจะต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน และต้องคำนึงถึงความยินยอมพร้อมใจในระดับสากล
ก็ได้แต่ หวังว่า กรณีกลโกงของ อาโบโดลี ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คงทำให้ธนาคารทั้งหลายสำนึกและเร่งลงมือให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะต้องมีรายต่อไปอีกครั้ง


