แพทยสภา-รพ.เอกชน ยึดเก้าอี้บอร์ด สปสช.
ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา มีมติเลือกคณะกรรมการในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน น่าสนใจว่าบุคคลเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ได้รับแรงสนับสนุนจาก 3 ส่วน คือ 1.สมาคมโรงพยาบาลเอกชนและสภาวิชาชีพ 2.ข้าราชการประจำ 3.วิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข
สัดส่วนของบอร์ด สปสช.ทั้งหมดมี 30 คน แบ่งเป็นภาคประชาชน 5 คน ส่วนท้องถิ่น 4 คน โรงพยาบาลเอกชน 1 คน สภาวิชาชีพ 4 คน ข้าราชการ 8 คน รัฐมนตรี 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน
ที่ผ่านมาคะแนนเสียงในที่ประชุมเพื่อผลักดันนโยบาย หรือโครงการต่างๆ ถูกแยกออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน ขั้วหนึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรี ข้าราชการ โรงพยาบาลเอกชน สภาวิชาชีพ รวม 14 เสียง อีกขั้วหนึ่งประกอบด้วย ภาคประชาชน ส่วนท้องถิ่น รวม 9 เสียง
อำนาจชี้ขาดจึงตกอยู่กับบอร์ดผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 7 เสียง
ก่อนหน้านี้ มีบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อเพื่อรับการพิจารณาเป็นบอร์ดผู้ทรงคุณวุฒิประมาณ 20 คน ส่วนใหญ่ได้รับการยอมรับจากสังคมและเวทีโลก อาทิ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ภญ.สำลี ใจดี อัมมาร สยามเทวา ทว่าเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือฟันเฟืองย่อมเปลี่ยนตาม
รายนามบอร์ด สปสช.สัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ ประกอบด้วย 1.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ด้านการประกันสุขภาพ 2.นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข 3.นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ด้านการแพทย์แผนไทย 4.นพ.พินิจ หิรัญโชติ ด้านการแพทย์ทางเลือก 5.วรานุช หงสประภาส ด้านการเงินการคลัง 6.เสงี่ยม บุญจันทร์ ด้านกฎหมาย 7.นพ.อิทธพร คณะเจริญ ด้านสังคม
เห็นได้ว่าบางรายเป็นถึงอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรียุคคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ บางรายเป็นทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย บางรายทำงานให้กับทุกขั้วอำนาจ และบางรายมีบทบาทในแพทยสภาและโรงพยาบาลเอกชนโดยตรง
“ชัดเจนแล้วว่าฝ่ายการเมือง กลุ่มทุน และเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน มีผลต่อการพิจารณากรรมการชุดใหม่” บอร์ด สปสช.รายหนึ่งแสดงความคิดเห็น
“ไม่สำคัญว่าคุณจะมีความสามารถหรือไม่ มันขึ้นอยู่ว่าคุณเป็นคนของใคร” บอร์ด สปสช.อีกราย กล่าวเสริม
พิเคราะห์ปัจจัยที่เอื้อต่อฝ่ายการเมืองหากกุม สปสช. 1.ระบบประกันสุขภาพเป็นนโยบายสำคัญทางการเมืองที่กระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ 2.งบประมาณมหาศาลในองค์กร
สอดรับกับสัญญาณที่ส่งผ่าน ต่อพงษ์ ไชยสาส์น รมช.สาธารณสุข ในการปฏิรูป สปสช.ว่า สปสช.นับเป็นเครื่องมือหนึ่งในการผลักดันนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติ จึงต้องมีกลไกที่เอื้อต่อภาครัฐ แต่หากเครื่องมือเหล่านั้นมีปัญหาหรือเป็นอุปสรรค รัฐบาลก็ต้องใช้อำนาจแก้ไขเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจบานปลายในอนาคต
“ถ้ามีเวลาผมจะใช้เหตุผลไปอธิบายให้บอร์ด สปสช.คนชุดเดิมเหล่านี้เข้าใจถึงนโยบายพรรคเพื่อไทย” ต่อพงษ์ ระบุ
ปรากฏการณ์แพทยสภาโรงพยาบาลเอกชนเข้าคุมบอร์ด สปสช.สัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิยังถือเป็นการรุกคืบของฝ่ายการเมืองเข้าสู่การวางระบบในองค์กรตระกูล “ส.” โดยมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใน “องค์การเภสัช” และ “สสส.” อย่างแน่นอน
การตัดสินใจบนผลประโยชน์ของประชาชนเท่านั้นที่จะลบข้อครหาเหล่านี้ได้


