นิติกรรมอำพรางกับเจตนาลวง
...สมผล ตระกูลรุ่ง
คดีแห่งประวัติศาสตร์ของชาติไทยกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ผลคดีจะเป็นประการใดโปรดอดใจรออีกเพียง 10 วัน ผมยังเชื่อในกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า มีมาตรฐาน และเชื่อว่าตุลาการทั้ง 9 ท่าน ที่จะวินิจฉัยคดีนี้จะพิจารณาด้วยความเป็นธรรม บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย เพราะทั้งคนในและต่างประเทศต่างจับตาดูอยู่
ไม่ต้องกลัวสองมาตรฐานหรอกครับ เพราะไม่มีใครสร้างเรื่องวางแผนได้สลับซับซ้อนเท่าคดีนี้อีกแล้ว ระบบการพิจารณาที่ให้ผู้พิพากษา 9 ท่านทำความเห็นส่วนตัว แล้วประชุมปรึกษาคดี เป็นการค้านอำนาจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครกล้าทำอะไรนอกลู่นอกทาง เพราะคนทั้งประเทศจ้องอยู่
ก็เหมือนกับคดีซุกหุ้นภาค 1 ที่ตุลาการบางท่านถูกวิพากษ์วิจารณ์จนเสียผู้เสียคนมาแล้ว ผมจึงมั่นใจว่า ผลคดีจะเป็นไปตามพยานหลักฐานและเป็นไปตามกฎหมาย
มีประเด็นว่าการโอนหุ้นเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น อาจทำให้เข้าใจข้อกฎหมายผิดพลาดได้ ผมจึงขอนำข้อกฎหมายมาให้ท่านผู้อ่านที่ไม่รู้กฎหมายจะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง
นิติกรรมอำพรางมีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155
“
การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่ง ทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่นให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้
”ฉะนั้น เมื่อพูดถึงนิติกรรมอำพรางจึงต้องพูดถึงเจตนาลวง เพราะนิติกรรมอำพรางเป็นการแสดงเจตนาลวงอย่างหนึ่ง
การแสดงเจตนาลวงเป็นกรณีที่มีการแสดงเจตนาทำนิติกรรมกัน โดยทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีว่า ไม่ได้ต้องการให้ผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกนั้น เพื่อหลอกลวงให้คนอื่นๆ เข้าใจว่า ทั้งสองฝ่ายทำนิติกรรม (ที่แสดงออก) กันจริง
ส่วนนิติกรรมอำพรางนั้นจะต้องมี 2 นิติกรรมเกิดขึ้นเสมอ คือนิติกรรมที่แท้จริงและนิติกรรมที่ทำขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้อื่น
ความแตกต่างของนิติกรรมอำพรางและเจตนาลวงคือ เจตนาลวง เป็นการทำนิติกรรมขึ้นเพื่อหลอกลวงบุคคลอื่น โดยไม่มีนิติกรรมใดต่อกันจริง
ส่วนนิติกรรมอำพรางนั้นทั้งสองฝ่ายต้องการทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง แต่แสดงเจตนาลวงต่อบุคคลอื่นโดยทำนิติกรรมอีกอย่างหนึ่ง
เรามาดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงกันครับ
สามีภรรยาคู่หนึ่ง ภรรยามีลูกติดจากสามีเก่า ไม่ต้องการให้ลูกติดมีสิทธิใดๆ ในที่ดินและบ้านที่เป็นสินส่วนตัวของตนเอง จึงตกลงกับสามีคนปัจจุบัน จดทะเบียนหย่ากัน แล้วโอนที่ดินและบ้านสินส่วนตัวให้สามี โดยไม่มีการซื้อขายกันจริง การซื้อขายที่ดินและบ้านเป็นเจตนาลวง ไม่มีผลผูกพันเพราะเป็นโมฆะ ที่ดินและบ้านยังคงเป็นของภรรยา (ฎีกาที่ 8634/2496)
มาดูเรื่องสนุกๆ อีกเรื่อง
จำเลยมีภรรยาตามกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว ทำตัวเป็นนักกอล์ฟไปได้โจทก์เป็นภรรยาใหม่อีกคนหนึ่ง โดยโจทก์เองเป็นม่ายลูกติด ขณะนั้นจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง ต้องการให้ลูกติดของโจทก์มาเป็นพยานให้ จึงได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้และหวังผลว่าโจทก์จะได้ไม่ร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องที่ตนเองมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนโจทก์เองก็ต้องการสัญญากู้เป็นข้อต่อรองให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับภรรยาคนเดิมและจดทะเบียนสมรสใหม่กับตนเอง โดยไม่มีการรับเงินตามสัญญากู้จริง โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้องจำเลย ศาลวินิจฉัยว่า สัญญากู้เป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นจากเจตนาลวง บังคับกันไม่ได้ (ฎีกาที่ 2059/2525)
ส่วนตัวอย่างของนิติกรรมอำพราง เช่น ต้องการกู้เงินโดยใช้ที่ดินเป็นประกัน ซึ่งตามกฎหมายคือการจดจำนอง แต่ทั้งสองฝ่ายไปจดทะเบียนเป็นการขายฝาก ดังนี้ การขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางการจำนอง (ฎีกาที่ 2239/2517)
สำหรับผลของนิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงนั้น กฎหมายบอกว่าเป็นโมฆะ ผลก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สิ่งที่ทำไว้เป็นความสูญเปล่า บังคับกันไม่ได้ ทรัพย์สินเดิมเป็นของใครก็ยังคงเป็นของบุคคลนั้น
การพิจารณาว่านิติกรรมใดเกิดจากการแสดงเจตนาลวงหรือไม่ จึงต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่า ทั้งสองฝ่ายมีเจตนาให้ผูกพันตามนั้นหรือไม่ จะพิจารณาเอกสารตามกระดาษไม่ได้ เพราะถ้าพิจารณาจากกระดาษอย่างเดียว เจตนาลวงหรือนิติกรรมอำพรางย่อมใช้บังคับไม่ได้
กรณีของคุณทักษิณที่อ้างว่า ขายหุ้นชินคอร์ปให้ลูก มีนิติกรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการขายหุ้น ปัญหาอยู่ที่เจตนาของคุณทักษิณกับลูก ต้องการซื้อขายหุ้นกันจริงหรือไม่ ถ้าทำเพื่อหลอกลวงคนอื่นว่าคุณทักษิณขายหุ้นไปหมดแล้ว เพื่อต้องการดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้โดยไม่ผิดกฎหมาย การซื้อขายหุ้นก็เป็นการแสดงเจตนาลวง
แต่ถ้าคุณทักษิณต้องการขายหุ้นให้ลูกจริงเพราะเห็นว่าลูกโตแล้ว มีความสามารถที่บริหารกิจการใหญ่โตได้ มีการปฏิบัติกันตามสาระสำคัญของการซื้อขายหุ้นจริง เช่น การชำระเงิน การใช้สิทธิในฐานะเจ้าของหุ้นที่น่าจะเข้าบริหารกิจการเอง เพราะซื้อมาด้วยเงินจำนวนมหาศาลก็ต้องถือว่าเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์
ก็ต้องถามคนไทยทั้งประเทศว่า มีใครเชื่อว่าคุณทักษิณขายหุ้นให้ลูกจริง
ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่การวินิจฉัยขององค์คณะทั้ง 9 ท่าน ที่จะฝากฝีมือไว้เป็นประวัติศาสตร์ในวงการยุติธรรม คำพิพากษาของท่าน จะเป็นประวัติศาสตร์สำหรับคนรุ่นหลังไปชั่วนิรันดร์


