เปลี่ยนผ่านประเทศไทยจาก อภิสิทธิ์ สู่ ยิ่งลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ เปิดการประชุมรัฐสภา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 1 ส.ค.
ในการนี้มีพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภา ความตอนหนึ่งว่า “เป็นภาระและความรับผิดชอบโดยตรงของท่านทั้งหลาย ที่จะต้องร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกของสภานี้ ให้การปกครองประเทศดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตย เพื่ออำนวยประโยชน์ที่พึงประสงค์ คือความเจริญมั่นคงของประเทศ และความผาสุกร่มเย็นของประชาชน เชื่อว่าทุกท่านต่างทราบเป็นอย่างดีถึงความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน จึงควรหวังได้ว่าจะมีการปรึกษาพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบ และตกลงกันด้วยเหตุและผลด้วยความสมัครสมานปรองดอง และความเสียสละอดทนและอดกลั้นโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะพึงเกิดมีแก่ประเทศชาติและประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ”
สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอย่างแท้จริง เมื่อประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 อย่างเป็นทางการ คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สส.ขอนแก่น จากพรรคเดียวกันเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นอันว่าการเมืองนับจากนี้ไปจะเข้าสู่ยุคของพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัวหลังจากต้องอยู่ใต้ร่มเงาของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นานถึง 2 ปีเต็ม ซึ่งเจ้าตัวได้ประกาศอำลาตำแหน่งและส่งมอบการบริหารงานราชการแผ่นดินให้กับรัฐบาลใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จุดเปลี่ยนผ่านของการเมืองไทยต้องบอกว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกบุคคลมาทำหน้าที่ประธานสภาคนใหม่และก็เป็นไปตามความคาดหมายเมื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตรองประธานสภาเจ้าของฉายา “ขุนค้อน” ได้ตำแหน่งนี้ไปครองหลังจากต้องขับเคี่ยวกับการต่อรองของกลุ่มการเมืองในพรรคอย่างกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนให้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย สส.บัญชีรายชื่อ อดีตรองประธานสภามาทำหน้าที่นี้ ขณะที่ตำแหน่งรองประธานสภาอีก 2 คน เป็นของนายเจริญ จรรย์โกมล สส.ชัยภูมิ และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุน สส.พะเยา โดยทั้งสามตำแหน่งสภาให้การรับรองโดยไร้คู่แข่ง
“ความตั้งใจส่วนตัวภายหลังรับตำแหน่ง ต้องการแก้ไขเรื่ององค์ประชุมสภาล่ม ซึ่งเป็นปัญหาที่ค้างคามานาน โดยการแก้ไขทำได้ด้วยความร่วมมือและจิตสำนึกของ สส.ทุกคน และจะมีมาตรการออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างแน่นอน เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ยืนยันว่าการทำหน้าที่ประธานสภาจะยึดมั่นในความเป็นกลาง และความยุติธรรมให้กับทุกพรรค โดยจะใช้ข้อบังคับการประชุมสภาอย่างเคร่งครัด” วิสัยทัศน์จากประธานสภาคนใหม่
ถัดมาในวันที่ 5 ส.ค. เป็นวันประชุมสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีท่ามกลางความสนใจของประชาชนทั่วทั้งประเทศที่กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งที่สุดแล้วที่ประชุมสภาได้มีมติเห็นชอบ 296 เสียง ต่อ 3 เสียง และงดออกเสียง 197 เสียงให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกฯ ท่ามกลางความดีใจของพรรคเพื่อไทยเป็นจำนวนมาก โดยพรรคได้เตรียมสถานที่และจัดงานเลี้ยงภายหลังจากมีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งนายกฯ ในวันเดียวกัน แต่ทุกอย่างต้องหยุดชะงักหลังจากได้รับแจ้งจากประธานสภาว่าจะยังไม่มีพระบรมราชโองการลงมาในวันดังกล่าว
“จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนให้โอกาสและเวลาในการทำงาน โดยจะร่วมกันทำงานเป็นทีม เร่งแก้ไขปัญหาให้ประชาชน รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 16 ของโลก และจะทำงานอย่างเต็มความสามารถ ขอเวลาพิสูจน์ตัวเอง ไม่ให้ประชาชนผิดหวัง ดิฉันคนเดียวคงไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ต้องมีทีมเวิร์กร่วมมือกันทุกหน่วยงานทุกภาคส่วน และยินดีที่จะมีการหารือร่วมกับฝ่ายค้าน โดยขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน รวมถึงการเพิ่มค่าครองชีพให้กับประชาชนด้วย” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกรายการผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อรายงานสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและส่งมอบงานบริหารประเทศไทยให้กับรัฐบาลใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศอำลาตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าขณะนี้เงินสำรองระหว่างประเทศนั้นมีสูงถึง 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก เพิ่มขึ้นจากรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินถึง 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และก็เป็นเงินสำรองซึ่งอยู่ในอันดับที่สูงเป็นอันดับที่ 13 ในโลก หมายความว่าฐานะของประเทศมีความเข้มแข็ง
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลชุดใหม่จะนำความสมัครสมานสามัคคีมาสู่ปวงชนชาวไทย นำเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองนั้นไปว่ากันในกระบวนการของรัฐสภา และยกสถาบันต่างๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น อยู่เหนือความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันหลักของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” คำแถลงสุดท้ายจากนายอภิสิทธิ์ จากนั้นอดีตนายกฯ ร่วมงานเลี้ยงอำลาและขอบคุณข้าราชการประจำทำเนียบรัฐบาลที่ร่วมกันทำงานมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เป็นอันปิดฉากการทำงานของนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 อย่างสมบูรณ์แบบก่อนที่จะกลับไปทำหน้าที่ สส.ฝ่ายค้านต่อไป
มากันที่การจัดทำโผคณะรัฐมนตรี หรือ “ครม.ปู 1” กันบ้าง สัปดาห์ที่ผ่านมานับได้ว่ามีความเคลื่อนไหวเป็นอย่างมากในพรรคเพื่อไทย เพราะบรรดากลุ่มการเมืองต่างๆ ได้เร่งติดต่อประสานงานกับแกนนำพรรคเพื่อขอตำแหน่งเป็นจำนวนมาก และบางส่วนได้เข้ามากรอกประวัติส่วนตัวแล้ว อย่างไรก็ตาม เริ่มมีความชัดเจนในตำแหน่งแล้ว เช่น นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะมารับตำแหน่ง รมว.คลัง ภายหลังนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ ปฏิเสธ โดยนายธีระชัยได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแล้ว
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เตรียมเข้ามารับตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงหลังจากยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ซีพี ออลล์ นายจุลพงษ์ โนนศรีไชย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงออสโล เป็น รมว.ต่างประเทศ นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานบอร์ดบริษัท ไทยออยล์ เป็น รมว.อุตสาหกรรม นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น
ปิดท้ายด้วยความเสียหายของประชาชนเกือบทั้งประเทศจากอิทธิพลของพายุนกเตนที่พัดถล่มประเทศไทยทำให้เกิดอุทกภัยหลายจังหวัด ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)สรุปภาพรวมของสถานการณ์เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า พายุดังกล่าวสร้างความเสียให้กับ 16 จังหวัดของประเทศไทย ได้แก่ แพร่ เชียงใหม่ สุโขทัย น่าน ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ พิจิตร พิษณุโลก นครพนม อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร และประจวบคีรีขันธ์ รวม 120 อำเภอ 665 ตำบล 4,984 หมู่บ้าน
ราษฎรเดือดร้อน 235,934 ครัวเรือน 742,108 คน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 217 หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 449,631 ไร่ ถนน 620 สาย ฝาย/ทำนบ 20 แห่ง สะพาน/คอสะพาน 72 แห่ง บ่อปลา/บ่อกุ้ง 558 บ่อ ปศุสัตว์ 474 ตัว ผู้เสียชีวิต 13 ราย (อุดรธานี 1 ราย เชียงใหม่ 2 ราย แม่ฮ่องสอน 7 ราย แพร่ 2 ราย สุโขทัย 1 ราย) สูญหาย 1 ราย บาดเจ็บ 11 คน


