กับดักรัฐสวัสดิการปลุกอันธพาลขวาจัด
โศกนาฏกรรมที่นอร์เวย์เป็นเสมือนคำเตือนให้ชาวโลกได้ตระหนักถึงภัยคุกคามของกลุ่มหัวรุนแรง
โศกนาฏกรรมที่นอร์เวย์เป็นเสมือนคำเตือนให้ชาวโลกได้ตระหนักถึงภัยคุกคามของกลุ่มหัวรุนแรง
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
โศกนาฏกรรมที่นอร์เวย์เป็นเสมือนคำเตือนให้ชาวโลกได้ตระหนักถึงภัยคุกคามของกลุ่มหัวรุนแรง ที่มิได้จำกัดวง (อย่างอคติ) กับศาสนิกชนในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มเคร่งศาสนา กลุ่มคลั่งเชื้อชาติ และกลุ่มชาตินิยมขวาจัด ที่เริ่มแตกหน่ออย่างรวดเร็วในยุโรป หลังจากที่เคยถูกพยายาม “ฆ่าให้ตาย” มาแล้วครั้งหนึ่ง หลังการสิ้นสูญของลัทธินาซี
พวกขวาจัดที่ก่อเหตุทั้งหนักและเบาในยุโรป แสดงอาการกระด้างกระเดื่องต่อกฎหมายบ้านเมืองและความสงบอันดีของมนุษยชาติมานานหลายทศวรรษแล้ว โดยเฉพาะในแถบยุโรปเหนือตั้งแต่เยอรมนี จนถึงสแกนดิเนเวีย อันประกอบไปด้วย เดนมาร์ก สวีเดน ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการลงมืออย่างเหี้ยมโหด ผิดจากที่เคยเป็นมา
แต่ไรมากลุ่มขวาจัดมักลงมือเยี่ยงนักเลงหัวไม้ หากไม่เป็นการก่อกวน รังแกตามย่านที่อยู่อาศัยของผู้อพยพต่างชาติต่างศาสนา ก็มักทำร้ายร่างกายถึงขั้นเลือดตกยางออก แต่ถึงกับเอาชีวิตนั้นมีน้อยมาก เหตุการณ์สังหารหมู่เกือบ 100 ศพที่นอร์เวย์ จึงช็อกความรู้สึกของชาวโลก และง่ายที่จะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงตามมา
ต้นเหตุของความรุนแรงจากกลุ่มขวาจัด อาจสืบเนื่องมาจากความไม่พอใจต่อเชื้อชาติหรือศาสนา หรือเรียกรวมๆ ว่า “คนแปลกหน้า/คนอื่น” ที่เข้ามาแย่งชิง “พื้นที่” ในบ้านเกิดเมืองนอนของตน
แต่สาเหตุที่แท้จริงมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังบ่อนทำลายความมั่นคงและสันติสุขในนอร์เวย์ และสแกนดิเนเวียทั้งภูมิภาค
แอนเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก ผู้ลงมือ บรรยายเอกลักษณ์ของตนเองว่าเป็นคนประเภทอนุรักษนิยม เป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด ส่วนตำรวจที่ทำการสอบสวนเจ้าตัว เสริมให้ชัดเจนขึ้นว่า เป็นคริสเตียนหัวรุนแรง และมีทัศนะทางการเมือง เอียงฝ่ายขวา ซึ่งหัวหน้าพรรคฝ่ายขวาในนอร์เวย์ที่ชื่อพรรคก้าวหน้า (Progress Party หรือ FrP) ยืนยันว่า เบรวิก เคยเป็นสมาชิกของพรรคระหว่างปี 1999-2006 นอกจากนี้ กลุ่มเฝ้าจับระวังฝ่ายขวาหัวรุนแรงยังเปิดเผยว่า เบรวิก เป็นสมาชิกของฟอรัมออนไลน์ของกลุ่มขวาจัดสัญชาติสวีเดน ซึ่งสวีเดนถือเป็นแหล่งเพาะกลุ่มขวาจัดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปเหนือ
ทั้งนี้ ความเป็นคริสเตียนหัวรุนแรงเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ต่อกลุ่มเคร่งศาสนาหัวรุนแรงในตะวันออกกลางและศาสนาอื่นๆ จากเอเชีย อย่างไรก็ตาม กรณีสังหารหมู่ล่าสุดไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา แต่ “ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นที่อพยพเข้ามา” มีส่วนเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดทัศนะทางการเมืองที่รุนแรง
เมื่อว่ากันในส่วนทัศนะทางการเมือง ต้องมองที่ความเคลื่อนไหวเบื้องหลังในภูมิภาคนี้ เพราะในระยะหลังพรรคการเมืองฝ่ายขวาเริ่มได้รับความนิยมในหลายประเทศของยุโรป หลังจากที่รัฐบาลฝ่ายซ้าย (หรือพรรคแรงงานในนอร์เวย์และในอังกฤษ พรรคสังคมนิยมในโปรตุเกสและกรีซ หรือกระทั่งพรรคเดโมแครตในสหรัฐที่เป็นซ้ายอ่อนๆ ถึงอ่อนมาก) มีนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งรัฐสวัสดิการ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม แต่จำเป็นต้องใช้งบประมาณของรัฐสูงมาก
ขณะนี้รัฐบาลนอร์เวย์นำโดยพรรคแรงงานเช่นกัน นโยบายของพรรคนี้นับว่าสนับสนุนนโยบายสวัสดิการสังคมอย่างแข็งขันแล้ว แต่นโยบายหลักของนอร์เวย์ที่ทุกพรรคไม่กล้าปรับเปลี่ยน แม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้านยังยากที่จะโต้แย้ง คือนโยบายรัฐสวัสดิการ คือการเกื้อหนุนประชาชนในทุกมิติชีวิต ประเทศเหล่านี้จึงติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มาตรฐานการครองชีพดีที่สุดในโลก
ตัวแบบรัฐสวัสดิการลักษณะที่ใช้อยู่ในนอร์เวย์ และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เรียกรวมกันว่า Nordic Model ซึ่งเน้นการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพชีวิตอย่างครอบคลุม ส่งเสริมให้แรงงานเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเพื่อรักษาสิทธิของตน แต่ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนการค้าเสรีด้วยการลดกฎหมายควบคุมตลาด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแทนที่รัฐ ซึ่งมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือสวัสดิภาพประชาชนเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม สวัสดิการเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐเรียกเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า และเป็นอัตราการที่เรียกเก็บสูงมาก นอร์เวย์สูงถึง 53% สูงกว่ากระทั่งในภูมิภาคเดียวกัน
การเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงลิ่วทำให้ประชาชนคาดหวังสูงเช่นกัน ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาประเทศเหล่านี้ตอบสนองความต้องการของประชาชนครบถ้วนอยู่แล้ว จนกระทั่งประเทศเหล่านี้ประสบกับ “กับดัก” ของระบบรัฐสวัสดิการ
กับดักที่ว่านี้เกิดขึ้นจากการที่รัฐใช้จ่ายมากเกินไป ตัวอย่างเช่น สวีเดนใช้งบรัฐสำหรับสวัสดิการถึง 56.6% ของ GDP เดนมาร์กที่ 51.7% และฟินแลนด์ที่ 48.6%
แม้ว่าอัตราว่างงานของนอร์เวย์จะอยู่แค่เฉียด 4% ซึ่งนับว่าต่ำหากเทียบกับสเปน ซึ่งเป็นแชมป์ว่างงานของยุโรป ด้วยอัตราสูงถึงกว่า 20% แต่นอร์เวย์มีภาระที่ต้องแบกรับคนว่างงานมากกว่า เนื่องจากอัตราเงินชดเชยคนว่างงานของนอร์เวย์สูงถึง 87.6% ของอัตราเงินเดือนที่เคยได้รับ เป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเดนมาร์ก
ด้วยเงินชดเชยที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดผลด้านลบ 2 ประการ คือ ทำให้คนว่างงานขาดแรงจูงใจที่จะหางานทำ และประการต่อมารัฐต้องแบกรับงบประมาณด้านนี้สูงขึ้น และยิ่งมากขึ้นเมื่อคนว่างงานไม่ยอมทำงาน กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่กำลังเล่นงานรัฐสวัสดิการแบบ Nordic Model
ขณะเดียวกัน รัฐสวัสดิการเหล่านี้มีหลักการเมืองที่เน้นหนักในสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างสูง ทำให้ต้องเปิดรับผู้อพยพจากนานาประเทศเข้ามาเป็นภาระของรัฐบาลอีก โดยเฉพาะผู้อพยพจากตะวันออกกลาง และเอเชีย ซึ่งผู้อพยพเหล่านี้ได้รับความช่วยเหลือจากสวัสดิการเช่นกัน แต่ในอัตราส่วนที่น้อยกว่า ทำให้ต้องขวนขวายเลี้ยงชีพมากกว่าเจ้าของประเทศ แต่กลับเป็นข้อดี เพราะทำให้คนเหล่านี้มีงานทำ และเริ่มมั่งคั่งขึ้น
แต่ข้อเสียก็คือ ยังความไม่พอใจให้กับเจ้าของประเทศบางกลุ่มที่เชื่อว่าผู้อพยพเหล่านี้กำลังแย่งสวัสดิการการเงินภาษีของตน ยิ่งเมื่อเห็นเพื่อนร่วมชาติหลายคนเริ่มตกต่ำ ยิ่งทำให้เกิดอาการคลั่งเชื้อชาติอย่างรุนแรง และช่วยเร่งความนิยมให้กับพรรคฝ่ายขวา ที่ประกาศลดทอนนโยบายสวัสดิการ และปิดประเทศไม่รับผู้อพยพชาวต่างชาติ
แต่ทัศนะรุนแรง กลายเป็นความรุนแรงได้อย่างไร ในเมื่อระดับการต่อต้านผู้อพยพและนโยบายรัฐสวัสดิการในนอร์เวย์ยังมีดีกรีความเข้มข้นต่ำกว่า สวีเดน หรือกระทั่งเดนมาร์ก?
คำตอบส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนอร์เวย์ยังไม่มีองค์กร หรือพรรคฝ่ายขวาที่เข้มแข็งพอที่จะใช้นโยบายต่อสู้มากกว่าใช้ความรุนแรงเข้าปะทะ หรือเป็นช่องทางระบายอารมณ์ทางการเมืองให้กับคนหนุ่มเลือดร้อน ไม่เหมือนกับสวีเดนและเดนมาร์กที่พรรคฝ่ายขวาประสบความสำเร็จถึงขั้นได้ที่นั่งในสภาเป็นครั้งแรกจากการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว (แต่เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากอคติอันเลวร้าย) เมื่อไม่มีการจัดตั้งเป็นองค์กรปัจเจกชนหัวรุนแรง ก็พร้อมที่จะลงมือเดี่ยวๆ ได้ทุกเมื่อ
ที่น่าตกใจก็คือ หลังจากเกิดเหตุวินาศกรรม ชาวโลกยังเชื่อว่าเป็นฝีมือจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง และแทบช็อกเมื่อทราบว่าชายหนุ่มนิยมแนวคิดขวาจัด อีกทั้งยังเป็นคริสเตียนหัวรุนแรงเต็มขั้น สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงอคติต่อชาวมุสลิมที่ระบาดไปถึงชาวโลก แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ หลายคนยังมองไม่เห็นว่า ช่องโหว่ด้านนโยบายเศรษฐกิจกำลังมีส่วนทำให้ประเทศยุโรปเหนือกลายเป็นแดนมิคสัญญี
ในเอกสารชื่อ “2083 : A European Declaration of Independence” (2083 : คำประกาศอิสรภาพของยุโรป) ที่เขียนขึ้นโดย แอนเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก จึงปรากฏเป้าหมายที่ต้องการ “ขจัด” อย่างชัดเจน โดยเจ้าตัวเชื่อมั่นว่า อีกไม่นานยุโรปจะเกิดสงครามกลางภูมิภาค ซึ่งจะจบลงด้วยการกวาดล้างสังหารกลุ่มนิยมลัทธิมาร์กซ์ และเนรเทศชนมุสลิมออกจากยุโรป
เอกสารฉบับนี้ค่อนข้างชัดเจนในตัวเองว่า ชนมุสลิมไม่ใช่เป้าหมายการกวาดล้างถึงขั้นเอาชีวิต แต่เป็นกลุ่มนิยมลัทธิมาร์กซ์ หรือฝ่ายซ้าย หรือพรรคแรงงาน ที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก ผลก็คือ เบห์ริง เบรวิก จึงก่อเหตุวางระเบิดใกล้กับทำเนียบรัฐบาลพรรคแรงงาน และบุกไปยิงกราดค่ายเยาวชนพรรคแรงงาน จนกลายเป็นโศกนาฏกรรม ช็อกโลก
นี่มิใช่เป็นการผลักประเด็นสังหารหมู่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจทั้งหมด แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่หมักหมมในประเทศที่เกิดเหตุ และมีโอกาสที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายทำนองนี้เช่นกันกับอีกหลายประเทศที่กลุ่มขวาจัดยังอาละวาด ไม่ว่าจะอาจเกิดได้ด้วยแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ จากความเกลียดชังทางเชื้อชาติและศาสนา หรือกระทั่งความบ้าคลั่งเดี่ยวๆ ของผู้ลงมือ
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด เหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่ 2


