posttoday

จุดเสี่ยง “บิ๊กป้อม”...เมื่อรุกคืบคุมพปชร.!!!

06 มิถุนายน 2563

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

*****************

ปัญหาความวุ่นวายจากการแย่งชิงตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ใช้กลุ่ม ก๊วนมาต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกดดันให้เปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค เพื่อปูทางนำไปสู่การปรับครม.ให้พรรคพวกตนเองได้ขึ้น สะท้อนการเมืองแบบเก่า ประชาชนไม่เอาด้วย ซูเปอร์โพล์สำรวจความเห็นล่าสุดตอกย้ำชัด พรรคพลังประชารัฐคะแนนตกวูบ ช่วงแก้โควิดมีคะแนนนิยม 39% แต่หลังเกิดการเกมไล่กันเองลดฮวบเหลือ 20%

ประเทศกำลังแก้วิกฤตจากผลกระทบจากโรคโควิด ประชาชนหลายล้านตกงาน รัฐบาลต้องกู้เงินมหาศาล 1.9 ล้านล้านบาทมาเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม แต่วินาทีนี้นักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐห่วงประโยชน์ส่วนตัวมากที่สุด การแย่งชิงเก้าอี้รมต.และตำแหน่ง ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนที่กำลังลำบากยากเข็ญจากวิกฤตโควิดแม้แต่น้อย

แรงกดดันจากกลุ่มการเมืองของมุ้งต่างๆ ในพปชร. ที่รวมตัวไม่พอใจกลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พ่วงด้วย 3 รมต. ประกอบด้วย อุตตม เสาวนายน หัวหน้าพรรค และรมว.คลัง และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และรมว.พลังงาน สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษา เพราะถือว่า ผ่านมา 1 ปีที่พรรคได้เป็นรัฐบาล แต่นายกฯยังไม่ส่งสัญญาณปรับครม. ตามที่สัญญาไว้ จึงต้องสร้างแรงกระเพื่อมให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับรู้

ประการสำคัญ คือ บีบให้ รมต.ของกลุ่มสมคิดพ้นยวง แม้ว่ากลุ่มของสมคิดได้ก่อร่างตั้งพรรคพปชร. มา เป็นผู้คิดวางนโยบายหาเสียง แต่ก็ไม่มีฐานเสียง สส.มาอุ้มชู และเมื่อมีอำนาจได้เป็นรมต. สส.ในพรรคมักบ่นว่า ไม่ดูแลปัญหาความเดือดร้อนทางการเงินของ สส. เหมือนเช่นคนที่เป็นหัวหน้าและเลขาพรรคพึงกระทำ

ปัญหาในพปชร.เกิดมาตั้งแต่ช่วงตั้งครม.ใหม่ๆ หรือ 1 ปีที่ผ่านมาหลังเริ่มบริหารประเทศ ช่วงนั้น กลุ่มสมศักดิ์ เทพสุทิน + สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่พอใจจำนวนเก้าอี้รมต.ที่ได้ ปัญหาสำคัญเพราะนายกฯ ปันใจให้สมคิดยกโควต้าเก้าอี้รมต. ให้กับ “4 ยอดกุมาร” “สมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์” ครบถ้วน เพราะทำงานเข้าขาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลคสช. ด้วยกัน จึงไปเบียดบังโควต้ารมต.ในพรรค ที่ต้องกระจายยังมุ้งอื่นๆอีก

ความไม่พอใจของกลุ่มสมศักดิ์ รวมกับมุ้ง สส. อื่นในพรรค ที่มีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กป้อม” สะสมมาเป็นแรมปี จึงระเบิดออกมาผ่านการยื่นใบลาออกของคณะกรรมการบริหารพรรคกลุ่มที่ไม่ใช่สมคิด และใช้แผนเชิด “บิ๊กป้อม” มาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน

ลูกพรรคพปชร.กลุ่มอกหักที่เคลื่อนไหว คิดว่า “บิ๊กตู่” เกรงใจ “บิ๊กป้อม” เพราะเป็นพี่ที่เคาพรักมานานตั้งแต่เรียนโรงเรียนนายร้อยจปร. ยังเป็นพี่ใหญ่ คสช. จึงไปเชิด “บิ๊กป้อม” ให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่ผิดวิสัยบิ๊กป้อมที่ไม่อยากออกหน้า

แน่นอนว่า เกมบีบในพรรคครั้งนี้ อาจทำให้ กลุ่มสมคิดต้องเสียเก้าอี้ฐานที่มั่นในพรรคพปชร. แต่เชื่อว่า จะยังไม่พ้นจากตำแหน่งรมต.ง่ายๆ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ น่าจะรักษาน้ำใจสมคิดต่อไป แต่ในอนาคตกลุ่มสมคิด อาจต้องเสียตำแหน่งอย่างน้อย 1-2 เก้าอี้รมต.เพื่อแก้ปัญหาผลประโยชน์ไม่ลงตัวในพรรค เพราะสุดท้าย “บิ๊กตู่” ต้องเลือกเกมประคับประคองกับกลุ่มก๊วนให้รัฐบาลอยู่รอดก่อน เพราะรู้ว่า นี่ไม่ใช่ยุคเบ็ดเสร็จของ คสช. แต่เป็นยุครัฐบาลผสมเลี้ยงลิง 20 พรรค

ในอนาคตปัญหาในพปชร. อาจคลื่นลมสงบ จบด้วยการพ่ายแพ้ของกลุ่มนายสมคิด ซึ่งช่วงหลังมีข่าวเสมอว่า อาจออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ร่องรอยความขัดแย้งในพปชร. ก็ยังอยู่ มุ้งต่างๆ มากมาย จะเกิดการแย่งชามข้าวกันต่อไม่จบสิ้น

แต่ปัญหาของพปชร. คือ การเข็น “บิ๊กป้อม” ขึ้นหัวหน้าพรรคเป็นสายล่อฟ้าคนใหม่ ที่จะทำให้ถึงพรรคถึงจุดเสื่อมในสายตาประชาชนเร็วขึ้น

สำหรับ พล.อ.ประวิตร คือ ผู้มากบารมีในวงการเมืองยุคหลัง ปัจจุบันอายุ 74 ปี นอกจากเป็นรองนายกฯแล้ว ยังควบตำแหน่งประธานคณะกรรมการชุดต่างๆ ในรัฐบาลมากกว่าสิบคณะ แม้จะดูมีบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจาก “บิ๊กตู่” มาก แต่วงในรู้ว่าหลังเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง “บิ๊กตู่” พยายายามคุมอำนาจเบ็ดเสร็จด้วยตัวเอง ตัดอำนาจของ “บิ๊กป้อม” ไม่ให้คุมกองทัพ ไม่ให้คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรงเหมือนที่ผ่านมา แต่ “บิ๊กป้อม” เอง พยายามเลื้อยเข้ามาคุมอำนาจในพรรคพลังประชารัฐแทน อาศัยช่องว่าง ที่ไม่มีใครเป็น “ผู้นำพรรคตัวจริง” และแม้ว่าที่ผ่านมา “บิ๊กป้อม” ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่า พร้อมรับเก้าอี้หัวหน้าพรรคหรือไม่ แต่เชื่อว่า ที่สุดแล้วจะรับ

แน่นอนบารมีของ “บิ๊กป้อม” พร้อมเป็นพี่ใหญ่ดูแล จัดสรรผลประโยชน์ให้กับทุกมุ้งใน พปชร. ให้ลงตัว แม้แต่ฝ่ายค้านเอง “บิ๊กป้อม” เองก็แผ่รัศมีให้เกิดความยำเกรง เพราะบิ๊กพรรคเพื่อไทยก็ต่อสายทอดสะพานถึงกันตลอด

เมื่อครั้งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งล่าสุด ลือกันหึ่งว่า ทักษิณ ชินวัตร ขอร้อง สส.เพื่อไทย ให้เว้นคนนึง ที่ห้ามยื่นญัตติอภิปราย นั่นก็คือ “บิ๊กป้อม” แล้วก็เป็นจริง แม้ว่าบิ๊กป้อมจะถูกยื่นซักฟอกไปด้วย แต่ที่สุด ก็มีแต่ชื่อ เมื่อถึงเวลาไม่มีการอภิปรายจริง สร้างความตะลึงพรึงเพริดมาก

ครั้งนั้นพรรคอนาคตใหม่ โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาโพสต์ แฉพรรคเพื่อไทยล้มมวยยื้ออภิปรายโกงเวลา หวังปล่อย "บิ๊กป้อม" รอด ลูกพรรคอนาคตใหม่บางรายบอกด้วยว่า ไม่อยากเชื่อข่าวเรื่อง “เงื่อนงำ” บางอย่างในการล็ออบบี้ไม่ซักฟอก “บิ๊กป้อม” สุดท้ายอาจเป็นจริงตามนั้นก็ได้ ทำให้พรรคอนาคตใหม่ที่เตรียมจะอภิปรายบิ๊กป้อม ต้องไปพูดนอกสภาแทน

ขณะที่พรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ก็ยังเว้นตรวจสอบบิ๊กป้อมด้วย ลูกพรรค 3 คนไม่ลงมติไม่ไว้วางใจพล.อประวิตร แม้แต่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หรือ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำพรรคเพื่อไทย มีข่าวว่า ทอดไมตรีต่อสายพูดคุย กับ “บิ๊กป้อม” เช่นกัน

ไม่เท่านั้น “บิ๊กป้อม” ยังมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดผู้นำองค์กรอิสระโดยเฉพาะประธาน ป.ป.ช. คนปัจจุบัน คือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ครั้งหนึ่ง พล.ต.อ.วัชรพล ต้องขอถอนตัวจากการเป็นประธานกรรมการสอบสวน คดียืมนาฬิกาเพื่อนที่พล.อ.ประวิตรถูกสอบ "เพื่อให้เกิดความโปร่งใส" แต่ที่สุดคดีนี้ ป.ป.ช. ตัดสินว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ผิด โดยชี้แจงว่า การยืมนาฬิกาเพื่อน 22 เรือน ไม่ต้องรายงานบัญชีทรัพย์สินตามกฎหมาย เพราะไม่ใช่เงินตรา เป็นการ "ยืมใช้คงรูป"

หาก “บิ๊กป้อม” ตัดสินใจขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.อาจมีความปึกแผ่นสามัคคี การบริหารผลประโยชน์ของนักการเมืองลงตัว การดีลกับฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยที่ปัจจุบันก็อ่อนแอ ขัดแย้งภายใน ก็อาจสานประโยชน์ได้ดีขึ้น เป็นผลดีต่อรัฐบาลเอง การตรวจสอบของฝ่ายค้านก็อาจเหลือเพียงแค่พิธีกรรม

การเมืองที่ไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน แต่การเมืองปัจจุบันไปไกลเกินกว่าการต้องมาพึ่งระบบการเมืองในสภา เพราะพลังประชาธิปไตยนอกสภา ในออนไลน์ก้าวหน้ากว่าการเมืองของนักการเมืองแล้ว

แต่สิ่งที่เราจะเห็น ในสมการ “บิ๊กป้อม” หัวหน้าพรรคพปชร. คือ ภาพการสืบทอดอำนาจยิ่งแจ่มชัด เพราะพี่ใหญ่ คสช.ลงมาเป็นหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลเต็มตัว ไม่ต้องอยู่เบื้องหลังอีก ขณะที่ “บิ๊กตู่” หัวหน้าคสช.เป็นนายกรัฐมนตรีตามบัญชี พปชร. ขณะที่ ส.ว. 250 คน ก็มาจากการแต่งตั้งโดยคสช. และ รธน.ฉบับปัจจุบัน ก็ยังกำหนดให้การเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ว.ยังได้สิทธิ์ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่

สิ่งที่จะเกิดขึ้นที่จะเป็นจุดเปราะบางของรัฐบาล คือ รัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐจะเป็นตำบลกระสุนตก คดีความต่างๆ จะถูกเร่ง พุ่งมาที่การยื่นตรวจสอบ “บิ๊กป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรค ตามกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง โยงไปสู่การยุบพรรคพลังประชารัฐว่าส่อทำผิดกฎหมายนู้นนี่นั่น เหมือนที่หลายพรรคเผชิญคดียุบพรรคอยู่ ซึ่งหากองค์กรอิสระตัดสินแล้วทำให้ประชาชนคลางแคลงใจไม่จบสิ้น นี่อาจเป็นแรงส่งปลุกประชาชนออกมาทวงหาความเป็นธรรมเหมือนที่หลอน “บิ๊กตู่” กับชาวคณะช่วงก่อนโควิดก็เป็นได้

*************************