posttoday

"พิชัย"โชว์วิชั่นชิงผู้ว่าฯ ดันกทม.สู่เมืองหลวงอาเซียน

25 กุมภาพันธ์ 2561

"ทำอย่างไรให้ประชาชนมีที่ทำกิน ค้าขาย หรือยกระดับรายได้ให้กับคนกรุงเทพฯ และประการสำคัญคือทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองหลวงอาเซียน ไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศไทยเพียงอย่างเดียว"

"ทำอย่างไรให้ประชาชนมีที่ทำกิน ค้าขาย หรือยกระดับรายได้ให้กับคนกรุงเทพฯ และประการสำคัญคือทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองหลวงอาเซียน ไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศไทยเพียงอย่างเดียว" 

**************************** 

โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

เริ่มพอเห็นภาพชัดเจนขึ้นหลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เห็นชอบร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งได้ผ่านการรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องและปรับปรุง ก่อนนำส่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. พิจารณาประกาศเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป

สอดรับกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีกระแสข่าวได้เตรียม 2 แคนดิเดต เพื่อส่งเข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม และพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน แม้จะยังไม่แน่นอนว่าใครจะได้ถูกเสนอชื่อเพื่อมากรำศึกสนามพ่อเมืองกรุงเทพฯ

พิชัย หนึ่งในแคนดิเดตและผู้ถูกจ้องจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กับการออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นด้านเศรษฐกิจ จนล่าสุดถูกหมายเรียกฐานขัดคำสั่ง คสช. นับเป็นครั้งที่ 10 ได้เปิดใจผ่าน “โพสต์ทูเดย์” ว่า เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้ข้อสรุปในประเด็นดังกล่าว แต่การมีชื่อมาก็ถือว่าต้องขอบคุณ เพราะเป็นโอกาสที่จะสามารถเข้ามาบริหารกรุงเทพมหานคร ซึ่งตนเองก็เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด และเชื่อว่าทุกคนอยากเห็นกรุงเทพฯ พัฒนาก้าวหน้าต่อ

พิชัย กล่าวออกตัวว่า แม้ยังไม่ได้คิดว่าจะลงเป็นผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ แต่เห็นว่าอะไรที่กรุงเทพฯ ต้องการ โดยเฉพาะทำอย่างไรให้ประชาชนมีที่ทำกิน ค้าขาย หรือยกระดับรายได้ให้กับคนกรุงเทพฯ และประการสำคัญคือทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองหลวงอาเซียน ไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ผมยกตัวอย่าง เช่น การเปิดเสรีให้คนฉลาดๆ เข้ามาอยู่ในประเทศไทยและให้สัญชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศทำกัน อาทิ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยประเทศหัวคิดก้าวหน้าจะมองว่าทำอย่างไรให้ประเทศเขาเจริญ จึงยินดีรับคนฉลาดให้เข้ามาเป็นประชากร ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องเปิดรับ

แต่ต้องทำให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล และผมมีแพลนไว้หมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครจะได้ลงสมัครเป็นผู้ว่าฯ ถ้าเป็นคนอื่นผมก็พร้อมส่งแผนงานให้เขาดำเนินการต่อ ซึ่งเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งแผนแก้ไขปัญหากรุงเทพฯ รวมถึงแผนของประเทศด้วย”

พิชัย อธิบายอีกว่า การทำกรุงเทพฯ ให้เป็นที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนและดึงคนฉลาดๆ เข้ามานั้น จะทำให้ประเทศพัฒนาและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และยิ่งเฉพาะปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่มีความเจริญพัฒนามากขึ้น หากได้คนฉลาดมาหนึ่งคน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทันที เช่น มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารเฟซบุ๊ก ที่ทำให้มีเฟซบุ๊กทุกวันนี้ คนฉลาดคลิกเดียว และยิ่งมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็สามารถสร้างเม็ดเงินได้เป็นหมื่นเป็นแสนล้านทันที หรือแนวคิด Co working space โดยเอาเด็กๆ เข้ามาช่วยกันคิด ช่วยกันทำเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ แล้วมาแชร์ความรู้กัน จึงเป็นสิ่งที่อยากฝากรัฐบาลช่วยคิด โดยเฉพาะการพัฒนาให้คนฉลาดเป็นสิ่งจำเป็น

“เหมือน 7-8 ปี ก่อน Tablet per child ผมเป็นคนคิด แล้วคิดว่านี่เป็นการพัฒนาให้เด็กก้าวทันอนาคต และรัฐบาลนี้ก็มายกเลิกไป ซึ่งจริงๆ แล้วมันได้ประโยชน์เยอะ การฝึกให้เด็กฉลาดใช้ให้เป็น เพื่อให้เด็กพัฒนาต่อไป ทำให้เด็กฉลาดก้าวกับอนาคตได้ทัน ผมเองไม่ได้พูดแบบนี้ว่าจะลงเองแน่นอน ใครเอาไปใช้ก็ได้ เพียงแต่อยากให้ข้อคิดว่ากรุงเทพฯ มันควรมีพัฒนาการในทิศทางที่ถูกต้อง เช่น ฝุ่นละออง

เพราะอย่างสหรัฐ มี Emission control กับรถทุกคัน อย่างเรามีกำหนดหรือไม่ว่า กี่ปีจะเอารถไฟฟ้ากี่เปอร์เซ็นต์ เพราะจะได้ลดค่าฝุ่นละอองด้วย รวมถึงการขุด การก่อสร้างถนน ก่อสร้างทางยกระดับ ทางรถไฟใต้ดิน หรือรถไฟบนดิน มันสร้างผลกระทบเยอะหรือไม่ ต้องแก้ไขอย่างไร ทว่า ไม่มีใครเดือดร้อนมาพูด แต่เป็นเรื่องสำคัญที่มันควรต้องพูด เพราะเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโดยตรง”

อย่างไรก็ตาม ตนเองมองทุกอย่างมันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรถติด น้ำท่วม เพราะเป็นปัญหาพื้นฐาน หากเดินทางลำบากหรือช้า เศรษฐกิจเสียหายเท่าไร หรือน้ำท่วมขึ้นมาเศรษฐกิจก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน เรื่องพวกนี้จึงอยู่ในขั้นตอนแก้ไขเพื่อทำให้เศรษฐกิจกรุงเทพฯ ขยับขึ้น และคนกรุงเทพฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นสิ่งที่อยากเห็น

สำหรับหลักการและแนวทางการดำเนินการทั้งหมดนั้นคงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ได้คิดไว้ทุกกรอบ ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีโมเดลของแต่ละประเทศ ซึ่งไปศึกษา อาทิ แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี และ นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เพราะถือเป็นเมืองศูนย์กลางใหญ่ของภูมิภาคนั้นๆ เพื่อนำเอามาปรับปรุงให้สอดคล้องกับประเทศและนโยบายของรัฐบาล

ทั้งนี้ จริงๆ โมเดลของต่างประเทศมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จำเป็นต้องเอาประสบการณ์ของเมืองใหญ่ๆ จากประเทศที่มีปัญหาและแก้ไขอย่างไร มาวางแผนเพื่อสอดคล้องกับประเทศไทย และจากประสบการณ์ที่เคยทำธุรกิจและต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ จะเห็นเมืองใหญ่ๆ ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีพัฒนาการและเปลี่ยนแปลง ก็อยากเห็นประเทศไทยเป็นไปในลักษณะดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขให้กับคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเรื่องหมอกควันฝุ่นละออง แต่ประเด็นดังกล่าวยังไม่มีการพูดอะไร หรือแม้กระทั่งนโยบายการแก้ไข และหากจำกันได้เมื่อ 20-30 ปีก่อน ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็พบปัญหาเช่นเดียวกับประเทศไทย ทำให้มีการแก้ปัญหากันแบบยกใหญ่ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาแพงมาก

"พิชัย"โชว์วิชั่นชิงผู้ว่าฯ ดันกทม.สู่เมืองหลวงอาเซียน

ในส่วนเรื่องปัญหาน้ำท่วม พิชัย บอกด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ ต้องรื้อแผนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐบาลเพื่อจัดการกับปัญหา ดังกล่าวว่ามีวิธีการอย่างไรไม่ให้น้ำท่วม เพราะทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าโลก กระแสการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสภาพอากาศเร็วมาก ดังนั้น การเปลี่ยน แปลงเป็นได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งการเตรียมพร้อมหรือทำโครงสร้างใหญ่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก

นอกจากนี้ ประเด็นที่กำลังเป็นปัญหาและต้องรีบแก้ไข คือ การจัดระเบียบตลาดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยโดยรอบ โดยการจัดการแก้ปัญหาในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ต้องทำ ความเข้าใจว่าตลาดเป็นพื้นที่สร้างรายได้สำคัญสำหรับคนชนชั้นรากหญ้า แต่ด้วยความเจริญที่โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“จึงมีความจำเป็นที่รัฐต้องจัดพื้นที่ให้เป็นระบบ ตั้งแต่การใช้สอยพื้นที่ของรัฐที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ จัดโซนนิ่ง ตลอดจนระบบการจัดการด้านมลภาวะ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ร่วมกัน ไม่ขัดแย้งกัน ขณะที่ปัญหาด้านผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ ระหว่างระบบราชการและผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เป็นบ่อเกิดปัญหาเรื้อรังอย่างปัจจุบัน”

อย่างไรก็ดี พิชัย ยอมรับว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งสนามนี้คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากฐานเสียงเดิมส่วนใหญ่เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส เพราะท้ายสุดแล้วจะมีการเลือกตั้งจริงหรือไม่ และเลือกตั้งอะไรก่อนระหว่างเลือกตั้งใหญ่และเลือกตั้งท้องถิ่น

“ต้องถามก่อนว่าคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่มีผู้ว่าฯ มาพอใจหรือไม่ อยากให้เลิกคิดถึงเรื่องการเมือง และมาคิดถึงเรื่องประโยชน์จริงๆ สิ่งที่พัฒนากรุงเทพฯ จริงๆ เป็นที่พอใจของคนกรุงเทพฯ หรือไม่ ถ้าพอใจก็เลือกอย่างที่เลือก แต่ถ้าไม่พอใจอยากจะลองเปลี่ยนหาคนที่มีแนวคิดใหม่ ก็ลองมาเลือกพรรคเพื่อไทยหรืออาจจะผม หรือเป็นคนอื่นก็ได้

เพราะมีแนวคิดของพรรคในการมาช่วยพัฒนาในทางที่ถูกต้องจริงๆ อยากให้คนเปิดใจ อย่าไปยึดติด และอยากให้มองในเชิงนโยบาย เพราะพรรคการเมืองไม่มีทางทำไม่ดี เพราะมันจะส่งผลกระทบ ถ้าสมมติพรรคเพื่อไทยได้รับเลือก และทำให้กรุงเทพฯ ไม่ดีจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่ทุกวันนี้บ้านเรามีแต่วาทกรรม เช่น คนซื้อเสียง ก็พิสูจน์แล้วว่าทุกวันนี้ไม่มี หรือมีก็น้อยมาก ซึ่งมาจากผลสำรวจ”

"พิชัย"โชว์วิชั่นชิงผู้ว่าฯ ดันกทม.สู่เมืองหลวงอาเซียน