posttoday

"ผมเติบโตได้เพราะทำงานให้ประชาชน" ตัวตน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

04 กุมภาพันธ์ 2561

"ประชาชนจะรู้ว่าตำรวจทำงานหรือไม่ ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา และที่ได้เติบโตในสายงานก็เพราะมาจากผลงานที่ทำให้กับประชาชน"

โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ

หากเอ่ยชื่อถึงนายตำรวจที่กำลังโด่งดังในชั่วยามนี้ นอกเหนือจากนายใหญ่รั้วปทุมวันอย่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องกำกับดูแลตำรวจทั่วประเทศกว่า 2 แสนนายแล้ว ชื่อของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ก็น่าจะติดอันดับความโด่งดัง

ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ดูเหมือนจะแทรกซึมเข้าไปยังโสตประสาทของประชาชนคนไทยแทบทุกวัน โดยเฉพาะช่วงระยะหลังที่เจ้าตัวเข้ามารับหน้าเสื่อ ไล่ปราบ จับ ป้องกัน ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างหนักหน่วง พร้อมทั้งทวงคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายที่ถูกหลอกเอาเงินไปแล้วนับร้อยล้านบาท

หรือก่อนหน้าที่จะดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว “บิ๊กโจ๊ก” พยายามสร้างผลงานผ่านการทำงานหนัก หลังได้คุมกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือตำรวจ 191 ที่พลิกโฉมการปฏิบัติหน้าที่ไม่เพียงแค่รับแจ้งเหตุแล้วค่อยลุยอำนวยความปลอดภัยให้ประชาชน แต่รุกคืบลากตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ วางกำลังดูแลความปลอดภัยในกรุงเทพฯ

ผลที่ตามมาคือเอาคนร้ายเข้าคุกไปไม่น้อย...

แต่เรื่องที่น่าจะถูกเอ่ยถึงมากที่สุดสำหรับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หรือเจ้าของฉายาในแวดวงสีกากีเรียกขานว่า “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” น่าจะเป็นข้อที่ว่าเจ้าตัว ถือได้ว่าเป็น “น้องรัก” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สังคมตั้งข้อสงสัยว่าการที่พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ สามารถก้าวกระโดดขึ้นมาติดยศ พล.ต.ต.ในปี 2557 ซึ่งนับว่าเร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 47 และถูกจารึกชื่อเอาไว้ว่าเป็นนายพลตำรวจคนแรกที่อายุน้อยที่สุด เพราะขณะติดยศนายพล “บิ๊กโจ๊ก” มีอายุเพียง 42 ปีเท่านั้น

เพราะความสนิทสนมกับพี่ใหญ่ คสช.อย่างบิ๊กป้อมหรือไม่ ที่ทำให้ความก้าวหน้าของอาชีพการงานกระโดดพุ่งพรวดเช่นนี้?

โพสต์ทูเดย์ นัดพูดคุยกับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กลางห้องประชุมของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายในห้องที่คลาคล่ำไปด้วยนายตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ โกลาหลอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเป็นระบบ รวมถึงแผนผังต่างๆ ที่บ่งบอกถึงขบวนการหลอกลวงเอาเงินคนไทย

ก่อนจะพูดคุยถึงตัวตนและการทำงาน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ไม่ปฏิเสธคำถามว่ามีความสนิทกับ พล.อ.ประวิตร จริงอย่างที่สังคมอยากจะรู้ หากแต่ความสนิทที่เกิดขึ้นก็เป็นไปในรูปแบบของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น

“ผมก็เหมือนนายตำรวจทั่วไปที่มี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้บังคับบัญชา รวมถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ที่เป็นนายของผมเช่นกัน เมื่อมีคำสั่งก็ต้องปฏิบัติเหมือนๆ กับตำรวจทุกคน และผมยังมีประชาชนที่ผมต้องปกป้อง อำนวยความยุติธรรมตามหน้าที่ของตำรวจ และแน่นอนว่าประชาชนก็คือนายของผมเช่นกัน” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์  เปิดฉากอธิบาย

รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวนายนี้ ยังขยายความถึงคำว่าประชาชนคือนายของตำรวจอีกว่า เป็นเพราะประชาชนคือผู้ที่จะตัดสินผลงานการทำหน้าที่ของตำรวจ และก็เป็นประชาชนอีกเช่นกันที่จะรู้ว่าตำรวจทำงานหรือไม่ หากตำรวจมีพื้นฐานการทำงานที่เป็นคนทุ่มเท มุ่งมั่น และเสียสละ ทำตามหน้าที่อย่างถูกต้องเพื่อประชาชน ตำรวจก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว

“ผลงานจากการตัดสินของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนจะรู้ว่าตำรวจทำงานหรือไม่ ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา และที่ได้เติบโตในสายงานก็เพราะมาจากผลงานที่ทำให้กับประชาชน”พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยืนยัน

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สปอตไลต์แทบจะทุกดวงต่างพุ่งเข้าหา พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เพราะอย่างที่กล่าวเอาไว้ว่าเป็นนายตำรวจที่โด่งดัง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้กดดันเจ้าตัวมากนัก เนื่องจากการยึดถือการทำงานเป็นหลักและ “กล้าที่จะลุย” แม้ว่าหลายอย่างที่กระทำตามอำนาจหน้าที่อาจจะไปกระทบกับใครก็ตาม

 

“ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ทำงาน ตำรวจทุกคนทั้งภูธร นครบาล หรือหน่วยอื่นๆ ก็ทำงานทั้งหมด ผมยึดถือว่าเมื่อใดที่ยศมากขึ้น ตำแหน่งสูงขึ้น มีอำนาจมากขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องมากตาม งานก็ต้องมีมากเป็นเงาตามมาด้วยเช่นกัน”

“ผมทำงานตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย แต่แน่นอนว่าด้วยสไตล์ของผมอาจจะต้องไปกระทบกับใครบ้าง แต่หากเป็นความถูกต้องแล้วผมก็ไม่สนใจ ผมก็ลุยหมด เพราะต้องยึดผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักและต้องใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม”พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เปิดเผยตัวตน

 

"ผมเติบโตได้เพราะทำงานให้ประชาชน" ตัวตน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

 

บิ๊กโจ๊ก ยืนยันชัดเจนว่า ไม่ได้มีความหนักใจที่ชื่อของตัวเองจะต้องไปเฉิดฉายในแวดวงตำรวจและสังคมมากนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นคนทำงาน แต่ละวันตื่นตั้งแต่เช้าก็หันหน้าเข้าหางานทันที และอยู่กับงานจนดึกดื่นแทบทุกวัน และงานของตำรวจจะพลาดไม่ได้เพราะมีประชาชนคอยตัดสินและกำกับดูแลตำรวจอยู่

และมาถึงวันนี้ที่เจ้าตัวเข้ามารับงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะถือเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่คนร้ายจากต่างประเทศมาหลอกลวงเงินของคนไทย คนที่เชี่ยวงานปราบปรามอย่าง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ จึงอาจเหมาะสมที่จะเข้ามาจัดการ และเจ้าตัวก็ให้คำตอบว่าการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในชั่วโมงนี้ถือว่าได้ผลเป็นอย่างดี

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เล่าว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้ามาหลอกลวงคนไทยมานานนับสิบปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าตำรวจไม่ได้จริงจังกับการแก้ไขปัญหา หากแต่เป็นไปในลักษณะต่างฝ่ายต่างทำงานปราบปรามกันมากกว่า การรวมกันแก้ไขจึงยังไม่เกิดขึ้น เช่น คดีเกิดที่ภาคเหนือ ตำรวจภาคเหนือก็ทำ คดีเกิดภาคใต้ ภาคใต้ก็ทำ รูปแบบเลยอาจจะกระจัดกระจาย ดังนั้น เมื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีคำสั่งให้ตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามขึ้นมา ก็จะเป็นการทำงานแบบบูรณาการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. กรมสรรพากร ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึง กสทช. เราก็ขอความร่วมมือมาช่วยกันทั้งหมด

ผลที่ได้คือการออกหมายจับผู้ต้องหาไปกว่า 200 คน และตามรวบมารับโทษได้แล้ว 170 คน พร้อมกับมาตรการเชิงรุกที่เป็นไม้เด็ด คือ ขอให้ 5 เกตเวย์การสื่อสาร คือ เอไอเอส ดีแทค ทรู แคทเทเลคอม ทีโอที เข้าร่วมมือกันในการช่วยบล็อกสัญญาณ VOIP ทำให้คนร้ายไม่สามารถโชว์หมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานราชการเพื่อมาใช้หลอกลวงประชาชนได้อีก ซึ่งตำรวจสามารถบล็อกเบอร์ทั้งหมดได้แล้ว

“การหลอกลวงจะใช้วิธีการโทรศัพท์จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเพื่อหลอกลวงประชาชน และเบอร์ที่จะแสดงต่อเหยื่อจะเป็นหมายเลขของโรงพักบ้าง กรมสอบสวนคดีพิเศษบ้าง ศาลบ้าง เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ ซึ่งเบอร์พวกนี้ที่คนร้ายจะใช้หลอกเราบล็อกเอาไว้ได้หมดแล้ว หากคนร้ายจะเข้าระบบนี้ก็จะขึ้นหน้าจอว่าเป็นหมายเลขโทรเข้าที่ไม่ระบุเบอร์ ก็ทำลายความน่าเชื่อถือที่คนร้ายจะใช้หลอกเหยื่อได้” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เผยผลการทำงาน

"ผมเติบโตได้เพราะทำงานให้ประชาชน" ตัวตน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

แต่หากให้มองถึงสาเหตุว่าทำไมคนไทยถึงต้องตกเป็นเหยื่อ คำตอบจาก พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ฉายภาพว่า ความกลัวเป็นปัจจัยหลักที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะใช้เรื่องราวมาหลอกลวง อ้างว่าบัญชีธนาคารเกี่ยวพันกับยาเสพติด การฟอกเงิน หากไม่โอนมาให้ตรวจสอบก็จะถูกอายัด เมื่อมาถึงตรงนี้คนก็กลัวกัน และส่วนใหญ่คนที่ถูกหลอกลวงจะอยู่ในวัย 50 ปีขึ้นไป ที่จะมีเงินเก็บก้อนสุดท้ายของชีวิตที่จะไว้ใช้ยามบั้นปลาย เมื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์รู้ข้อมูลจากตรงนี้ก็จะใช้ความกลัวเข้าหลอกลวง

 

“ข้อมูลของเหยื่อก็มาจากคนไทยด้วยกันที่มาหลอกกันเอง คนร้ายต่างชาติแค่เซตรูปแบบการหลอกลวงขึ้นมา ผมบอกได้เลยว่า หากคนไทยไม่ร่วมมือด้วย การหลอกลวงมันก็เกิดได้ยาก แต่ผมยืนยันกับคนไทยได้เลยว่า ไม่ต้องกังวลใจและใช้ชีวิตตามปกติ เพียงแต่ต้องตั้งสติทุกครั้งเมื่อต้องทำรายการทางการเงินหน้าตู้เอทีเอ็ม และที่สำคัญคือ ไม่ว่าคนร้ายจะสร้างเรื่องราวมาหลอกลวงเราอย่างไร สุดท้ายจะไปจบที่การโอนเงิน หากเราไม่เชื่อและไม่โอนเงินเสียอย่าง ก็ไม่มีปัญหาตามมา” บิ๊กโจ๊ก ให้ความมั่นใจผ่านดวงตาที่แดงก่ำ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นเพราะทำงานมาอย่างหนัก แต่ละวันก็แทบจะไม่ได้นอน

จากวันที่ก้าวเท้าออกจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เติบโตในอาชีพราชการตำรวจผ่านหลายยุคสมัย และพกความ “อารี” รักพวกพ้องติดตัวมาโดยตลอด จนได้ฉายาว่า “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ฉายานี้น่าจะยืนยันได้จากระหว่างการพูดคุย เพราะโทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องของเจ้าตัวจะดังขึ้นแทบจะทุกๆ 10 นาที และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ไม่ปฏิเสธที่จะรับสาย พร้อมยืนยันไปยังปลายทางในทำนองว่า “ผมจัดการให้ครับพี่ ได้ครับ เรียบร้อยแน่นอนครับ” หรือแม้แต่การสั่งการไปยังปลายสายด้วยพระเดชที่เจ้าตัวมีซึ่งแสดงออกถึงอำนาจที่มีอยู่ในมือ เพื่อจัดระเบียบตำรวจในสังกัดของตัวเองอย่างดุดัน

คำถามในข้อเคลือบแคลงว่านายตำรวจผู้นี้คือผู้มากบารมีตัวจริงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะในการแต่งตั้งโยกย้ายแทบจะทุกครั้ง จะต้องมีชื่อของเจ้าตัวปรากฏทั้งจากการซุบซิบในวงการสีกากี หรือในสังคมทั่วไปที่สนใจงานราชการตำรวจ

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ทิ้งท้ายการพูดคุยด้วยคำตอบของคำถามนี้ว่า “การโยกย้ายแต่งตั้งอะไรก็ตาม ทุกครั้งจะมีชื่อผมไปปรากฏในข่าวว่าเป็นผู้มากบารมี จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายอยู่ที่ ผบ.ตร. ผมก็จะรับผิดชอบในส่วนของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเท่านั้น เพราะเป็นหน่วยงานที่ผมกำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ เป็นงานที่ผมรับผิดชอบ ต้องประชุมคัดกรองลูกน้องตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ แต่เรื่องอื่นๆ ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยว ผมยืนยันได้ ผมไม่ใช่ผู้มากบารมีอะไรหรอก ผมเป็นตำรวจที่ต้องทำงาน”