เปิดสาระ "กฎหมายเลือกตั้ง สส." ฉบับเลื่อนเลือกตั้ง
กฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่คสช. ใช้เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เนื่องจากได้กำหนดให้มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 90 วัน
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 213 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี รวมใช้เวลาพิจารณาทั้งสิ้น 14 ชั่วโมง
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เนื่องจากได้มีการกำหนดให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 90 วัน
สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วย 1.มาตรา 2 ที่กรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ เสียงส่วนใหญ่ มีมติแก้ไขให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 90 วัน โดย วิทยา ผิวผ่อง ประธาน กมธ. ชี้แจงความจำเป็นต้องเลื่อนเวลา เพื่อให้ประชาชนและพรรคการเมืองได้ศึกษาทำความเข้าใจกฎหมายจะได้ไม่กระทำผิดโดยไม่เจตนา อีกทั้งยังต้องการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งจำนวน 1.5 ล้านคน ได้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ผิดพลาด จึงจำเป็นต้องขยายระยะเวลาบังคับใช้กฎหมายออกไป
ทว่า ประเด็นนี้ได้มี กมธ.เสียงข้างน้อยซึ่งสงวนคำแปรญัตติ อาทิ ประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มองว่า หากขยายเวลาจะเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการที่ กรธ.กำหนดไว้ ดังนั้น การที่ กรธ.เสนอว่าต้องดำเนินการเลือกตั้งใน 150 วัน นับแต่ร่างกฎหมายประกาศใช้ถือว่ามีความยืดหยุ่นเหมาะสม จึงไม่จำเป็นต้องขยายเวลาอีก 90 วัน และ คสช.ไม่เคยขอให้ สนช.มาทำอะไรเกี่ยวกับมาตรา 2 เลย
แต่ที่เรียกสายตาในการอภิปรายคือ พ.ต.ท.พงษ์ชัย วราชิต สมาชิก สนช. ซึ่งขอเสนอให้บังคับใช้กฎหมายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 60 เดือน หรือ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
2.มาตรา 13 กำหนดให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครโดยให้แจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองนั้น มีมติว่าจะเสนอให้สภาพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 3 รายชื่อต่อคณะกรรมการเลือกตั้งก่อนการรับสมัครเลือกตั้ง เมื่อพรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลใดแล้ว ห้ามบุคคลนั้นหรือพรรคการเมืองนั้นถอดถอนรายชื่อ เว้นแต่บุคคลนั้นตาย หรือขาดคุณสมบัติ
3.มาตรา 35 ว่าด้วยเรื่องการจำกัดสิทธิของผู้ที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วแต่เหตุนั้นมิใช่เหตุอันควร จะถูกจำกัดสิทธิ อาทิ ห้ามยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ห้ามลงรับสมัครเลือกตั้งทุกระดับ ห้ามรับราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ของรัฐสภา ห้ามรับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง และห้ามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารองค์กรท้องถิ่นเป็นเวลา 2 ปี
4.มาตรา 42 คุณสมบัติต้องห้ามไม่ให้ลงรับสมัครเลือกตั้งที่สำคัญ คืออยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิเลือกตั้งชั่วคราว หรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องคำพิพากษาให้จำคุก เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชนใดๆ เคยรับโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 10 ปี เว้นแต่คดีลหุโทษ ต้องคำพิพากษาในคดียาเสพติด ค้ามนุษย์ และฟอกเงิน รวมถึงการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือ เคยพ้นตำแหน่งเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทำใดๆ ที่มีผลให้ สส.และ สว. หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย
5.มาตรา 45 ผู้สมัครเลือกตั้งต้องยื่นหลักฐานแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาติดต่อกัน 3 ปี และมีเงินค่าธรรมเนียมการสมัครเลือกตั้ง สส. คนละ 1 หมื่นบาท
6.มาตรา 75 เกี่ยวกับข้อห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ตนเองหรือผู้อื่น ซึ่ง กมธ.เสียงข้างมาก มีมติให้สามารถจัดแสดงมหรสพ งานรื่นเริงระหว่างการหาเสียงได้ จากเดิมที่ห้ามดำเนินการ รวมถึงห้ามรณรงค์โหวตโน
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 136 ต่อ 78 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง พร้อมทั้งเพิ่มเติมเนื้อหามาตรา 73 ในการกำหนดกรอบค่าใช้จ่ายการจัดงานมหรสพไม่เกิน 20% ของวงเงินหาเสียงพรรคการเมืองตามหลักเกณฑ์ที่ กกต.กำหนดในมาตรา 64
ปิดท้ายประเด็นที่ 7.มาตรา 87 เรื่องการขยายเวลาการลงคะแนนเลือกตั้งจากเดิมเวลา 08.00-16.00 น. เป็นเวลา 07.00-17.00 น. ตามที่ กมธ.เสียงข้างมากแก้ไขนั้น ที่ประชุมลงมติเห็นด้วย 156 ต่อ 59 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง
ทั้งหมดนี้จะทำให้การเมืองไทยพลิกโฉมไปมากแค่ไหน อีกไม่นานรู้กัน


