posttoday

อ่านเกม "เลื่อนเลือกตั้ง" บอนไซพรรคเก่า ดึงเวลาตั้งพรรคใหม่

21 มกราคม 2561

ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะส่งผลให้วันเลือกตั้งที่ "พล.อ.ประยุทธ์" ได้ประกาศว่าจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 2561 ต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา ภายหลังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. มีมติเสียงข้างมากให้แก้ไขมาตรา 2 โดยกำหนดให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ 90 วัน นับแต่วันประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา จากเดิมที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำหนดให้มีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

ประเด็นดังกล่าว หาก สนช.เห็นชอบตามร่างกฎหมายฉบับนี้ จะส่งผลให้วันเลือกตั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่าจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 2561 ต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน หรือจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2562 ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากซีกการเมือง พร้อมกับตั้งคำถามว่านี่เป็นแผนปูทางสืบทอดอำนาจหรือไม่

องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้มุมมองว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะผู้มีอำนาจยังเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ไม่เสร็จเรียบร้อยใช่หรือไม่ พูดง่ายๆ ว่ายังแต่งตัวพรรคใหม่ไม่เสร็จ จึงต้องหาช่องทางทอดระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไป

ทั้งนี้ การขยายเวลาของการบังคับใช้กฎหมายครั้งนี้ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสืบทอดอำนาจที่ดำเนินการมาเป็นขั้นตอน โดยเฉพาะเมื่อมีความชัดเจนว่าต้องจัดตั้งพรรคใหม่ และดูดนักการเมืองจากพรรคเก่า การเคลื่อนไหวเพื่อบอนไซพรรคเก่า สร้างพรรคใหม่ จึงดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากไม่ยกเลิกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม ถึงแม้จะมีกฎหมายพรรคการเมืองออกมาใช้หลายเดือนแล้ว จากนั้นก็ใช้มาตรา 44 รีเซตสมาชิกพรรคการเมืองเก่า ออกเงื่อนไขให้ปฏิบัติได้ยากและขัดรัฐธรรมนูญ จนในที่สุดก็ขยายเวลาการเลือกตั้ง สส.ออกไปอีก 90 วัน

“น่าเป็นห่วงว่าเมื่อผู้มีอำนาจเคยแสดงตัวว่าเป็นกรรมการ แล้วเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้เล่นในสนามเสียเอง แถมยังใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงกฎ กติกา ไปตามอำเภอใจ ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าการเข้าสู่อำนาจโดยการเลือกตั้งจะเป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่ ดังนั้นขอฝากผู้มีอำนาจช่วยไตร่ตรองให้ดีว่าการสืบทอดอำนาจโดยใช้อำนาจไม่ชอบธรรม อาจนำพาประเทศไปสู่ปัญหาใหม่ได้ในที่สุด” องอาจ กล่าว

นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วย เพราะผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 และ268 ที่ต้องการจัดให้มีการเลือกตั้ง หากมีการขยายกรอบระยะเวลาหลายครั้งก็ย่อมเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ อีกทั้งรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมาได้ให้เวลาเตรียมการเลือกตั้งไว้แล้วถึง 150 วัน และยังผิดต่อความต้องการของประชาชนที่ไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. 2559 เพราะคาดหวังว่าหากเห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว

ขณะเดียวกันยังผิดในเชิงผลประโยชน์ขัดกันของ สนช.เองโดยตรง เพราะขยายเวลาออกไปเท่าใด ก็จะส่งผลให้การดำรงตำแหน่งของ สนช.ยืดยาวออกไปเท่านั้น และอาจถูกกล่าวหาว่าหวังสร้างผลงานเพื่อให้ได้กลับมามีอำนาจในการเป็นสมาชิกวุฒิสภาผ่านการคัดเลือกของ คสช.ต่อไป

นอกจากนี้ ยังผิดต่อคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 ข้อ 8 เนื่องจากเจตนารมณ์ของคำสั่งต้องการให้ร่างดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันทีหลังจากที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้นการอ้างว่าขยายกรอบระยะเวลาเลือกตั้งเป็นเหตุอันควรจากคำสั่งดังกล่าวนั้นจะยกมาไม่ได้ หากขยายเวลาออกไปก็จะกระทบทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนและนานาชาติที่มีต่อนายกรัฐมนตรี และจะเกิดผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน จะเป็นการได้ที่ไม่คุ้มเสีย จึงขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทบทวนให้ดี

ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การแก้กฎหมายในลักษณะนี้สามารถทำได้หากมีเหตุจำเป็น แต่อาจขัดหรือแย้งต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วในช่วงเปลี่ยนผ่าน หาก สนช.เห็นชอบจริง ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะหารือเพื่อโต้แย้งต่อไป

“แม้ กมธ.จะชี้แจงว่าไม่ได้รับใบสั่งจากรัฐบาล แต่เมื่อพิจารณาตั้งแต่เหตุการณ์ล้มรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และเป็นเหตุให้เลื่อนโรดแมปการเลือกตั้งออกไปอีก 1 ปี จนถึงตอนนี้จะเห็นว่ารัฐบาล คสช.พยายามจะอยู่ในอำนาจต่อให้นานที่สุด ส่วนหนึ่งอาจเพื่อการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และทำให้พรรคการเมืองเก่าย่ำแย่ด้วยการเลื่อนเวลาปลดล็อกทางการเมือง

ขณะที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร รักษาการกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะเป็นผลดี เพราะจะส่งผลกระทบต่อโรดแมปการเลือกตั้งที่รัฐบาลได้ประกาศให้สังคมโลกรับรู้ว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2561 หากมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาจากเดิม จะสะท้อนถึงการคิดไม่รอบคอบตั้งแต่เริ่มต้น  ปราศจากการประเมินสถานการณ์อย่างเหมาะสม