posttoday

มิติใหม่‘ปปง.’ลุยเชิงรุก ตอกฝาโลงแก๊งฮัลโหล

02 มกราคม 2561

ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทวีความรุนแรงมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ด้วยเล่ห์กลคมคายขบวนการนี้แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้ประชาชนตกหลุมพรางจนต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล

โดย...เอกชัย จั่นทอง

ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทวีความรุนแรงมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ด้วยเล่ห์กลคมคายขบวนการนี้แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้ประชาชนตกหลุมพรางจนต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล อีกทั้งยังทำลายระบบวงจรเศรษฐกิจให้ได้รับผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง แม้ที่ผ่านมาตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำคัญอย่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. จะลุยปราบปรามแล้วก็ตาม

โพสต์ทูเดย์ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "เดอะเปี๊ยก" พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เกี่ยวกับประเด็นปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังท้าทายกระบวนการกฎหมาย เพราะนอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังมีเรื่องขบวนการค้ายาเสพติด ขบวนการค้ามนุษย์ และคดีทุจริตต่างๆ ข้องเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งต้องยึดและอายัดทรัพย์สินกลับคืนสู่แผ่นดินให้หมด รวมถึงประเด็นทิศทางการทำงานในปี 2561 มีเป้าหมายอย่างไร

พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ ให้ภาพการทำงานของสำนักงาน ปปง.อย่างน่าสนใจว่า ต้องยอมรับว่าหน่วยงานของ ปปง.มีภารกิจสำคัญหลายส่วนที่ต้องเข้ามาจัดการแก้ไขปราบปรามขบวนการทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะขบวนการที่หนี ไม่พ้นคือเรื่องขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังหลอกหลอนประชาชนทำมาหากินอย่างบริสุทธิ์ แต่กลับถูกคนร้ายแต่งเรื่องแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ไปรษณีย์ ตำรวจ หลอกให้ผู้เสียหายทำธุรกรรมทางการเงินจนต้องหมดตัวมาหลายราย

ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ ปปง.เองต้อง บูรณารูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นไปอีกขั้น โดยจับมือร่วมกันบูรณาการและปราบปรามขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังพบว่าขบวนการดังกล่าวมีชาวต่างชาติร่วมกับคนไทยมาตั้งแก๊งหลอกลวงคนไทยด้วยกันเอง

"ส่วนกลุ่มผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงนั้น เหยื่อมักเป็นผู้สูงอายุและชาวบ้านที่รู้ไม่ทันกลโกงของคนร้าย ผนวกกับเหยื่อมักตกใจขาดการตั้งสติทำให้เข้าทางของคนร้ายที่มุ่งหวังทรัพย์สินคือเงินในบัญชีธนาคาร ตัวอย่างมากมายมีให้เห็น แต่ที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ไม่ได้ติดตามข่าวสารมากนัก เลยไม่รู้ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มันชั่วร้ายมากแค่ไหน" พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ ย้ำ

รักษาการเลขาธิการ ปปง. ตอกย้ำอาชญากรรมรูปแบบนี้ว่า ถ้าหากประชาชนหลงกลคนร้ายแล้วโอนเงินเข้าบัญชีตามที่คนร้ายบอก นั่นหมายความว่าเงินที่สะสมมาตลอดชีวิตอาจต้องหายวูบไปชั่วพริบตา ที่สำคัญขบวนแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีพัฒนาการรูปแบบการหลอกลวงทันสมัย ตลอดเวลา เพื่อหลบเลี่ยงการถูกจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ

"คนร้ายมีวิวัฒนาการสมัยใหม่นำเทคโนโลยีมาใช้หลอกลวงโดยการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต ระบบ Voip ที่ตั้งค่าระบบเป็นเบอร์หน่วยงานราชการได้เพื่อแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงาน ปปง. ดีเอสไอ หรือตำรวจ บช.ปส. วัตถุประสงค์เพื่อให้เหยื่อตายใจ"

นอกจากนี้ พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ ยังพยายามหาวิธีการป้องกันและสกัดการระบาดของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้เพื่อปราบปรามแบบถอนรากถอนโคน จึงต้องปรับกลยุทธ์ให้ก้าวทันกลโกง จึงได้มีการจับมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดีเอสไอ รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ (AIS DTAC TRUE CAT TOT) และธนาคาร 36 แห่งทั่วประเทศ ร่วมกันตั้งศูนย์ "ศปก.ปปง." ขึ้นมา ซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงาน ปปง. สะพานหัวช้าง กทม. เพื่อหยุดการสูญเสียทรัพย์สินของประชาชนและสกัดกั้นคนร้ายให้หยุดกระทำความผิด

พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ อธิบายขั้นตอนการทำงานของศูนย์ "ศปก.ปปง." ว่า สมมติว่าผู้เสียหายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาหาแล้วมีการหลอกล่อให้โอนเงินจนตกลงเชื่อทำตามทุกขั้นตอน ให้ผู้เสียหายรีบโทรหาสายด่วน ปปง.ที่เบอร์ 1710 หลังจากนั้น ศปก.ปปง. จะรีบประสานธนาคารที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้ายังบัญชีปลายทางทันที โดยจะรีบทำการอายัดบัญชีไว้ก่อนป้องกันการโอนย้ายเงิน จากประสบการณ์ทราบว่า คนร้ายจะใช้เวลาปฏิบัติการต้มตุ๋น หลอกลวงผู้เสียหายเฉลี่ยประมาณไม่เกิน 10 นาที จนเหยื่อหลงเชื่อ

ตั้งแต่มีการตั้ง "ศปก.ปปง.ขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2560 ถึงปัจจุบันมีประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 89 ราย มีมูลค่าความเสียหาย 24 ล้านบาท และเหยื่อที่ไม่หลงเชื่อมีจำนวน 52 ราย ส่วนเหยื่อที่หลงเชื่อและโอนเงิน มีจำนวน 37 ราย และมีประชาชนที่ถูกหลอกแล้วแจ้งมายัง "ศปก.ปปง." ในเวลาเกิดเหตุไม่นาน มีจำนวน 14 ราย ซึ่งทาง ศปก.ปปง. ได้ทำการประสานสถาบันการเงิน สามารถยับยั้งการทำธุรกรรมถอนเงินของคนร้ายได้บางส่วน จำนวน 5 ราย

กระนั้นก็ตาม พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ ยังพยายามพัฒนาแผนทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ โดยปรับเปลี่ยนให้ทันยุคสมัย ล่าสุดได้จัดตั้งทีม "สืบเสาะเข้มแข็ง" บูรณาการหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกว่า 50 หน่วย ตั้งทีมขึ้นมากวาดล้างและจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปจากประเทศไทย

สำหรับทีม "สืบเสาะเข้มแข็ง" เฉลี่ยจะมีเจ้าหน้าที่ใน 1 ทีมประมาณ 8 คน โดยจะนำร่องทำงานร่วมกับตำรวจภาค 3 ภาค 4 และ ปปง.ก่อน เนื่องจากตำรวจเหล่านี้มีความพร้อมในการทำงาน ซึ่งจะคัดเลือกตำรวจฝีมือดีๆ มาร่วมทีมเพื่อสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังสร้างปัญหาอยู่ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ เตือนว่า จะพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ประชาชนก็ต้องพึ่งพาตัวเองด้วย โดยช่วยกันเป็นหูเป็นตา ต้องติดตามข่าวสารและตระหนักมีสติเสมอ เนื่องจากคนร้ายจะปรับเปลี่ยนวิธีอยู่ตลอดจนกว่าจะมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อให้ "ต้มตุ๋นเหยื่อ" เพื่อมุ่งหวังเงินในกระเป๋าได้ตลอดเวลา n