สิ่งที่ "พล.อ.ประยุทธ์" ไม่ได้ทำ คือปฏิรูประบบราชการ
"เรื่องปฏิรูปทุกวันนี้ยังไม่ได้ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม หาก พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าอยากอยู่ต่อนานขึ้นเพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง ก็อยู่ไปเลย"
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
ผ่านมา 3 ปีครึ่งกับการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ผลงาน” ที่ยังไม่เข้าตา หลายเรื่องที่เป็นเป้าหมายซึ่งเคยประกาศไว้ตอนเข้ามารับตำแหน่ง ถึงวันนี้ยังดูห่างไกลความจริง
จุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินการทำหน้าที่ของรัฐบาล คสช. ว่า “สอบผ่าน” จากหลายองค์ประกอบ หนึ่งคือเรื่องความมุ่งมั่นของผู้นำ ทั้งนายกรัฐมนตรี และแกนนำใน คสช. ที่มุ่งมั่นทำงานให้ประชาชนยอมรับ สอง รัฐบาลมีความต่อเนื่อง สงบ ทำให้มีเสถียรภาพ
“ที่ผ่านมารัฐบาลมาจากการเลือกตั้งมักขาดเสถียรภาพ ระบบราชการ เมื่อไหร่ที่รัฐบาลแกว่งข้าราชการก็หยุดมองดูทิศทางว่าใครจะเป็นนายใหม่ แต่ คสช.ชัดเจนว่ายังอยู่ไม่ไปไหน ข้าราชการก็ไม่กล้าแกว่ง เป็นความได้เปรียบรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง โดยจะทำให้เกิดความนิ่งมากกว่า 30-40%”
องค์ประกอบที่สามคือ การทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ จะเห็นว่าคดีทุจริตทั้งหลายที่ซุกกันมามากกว่า 10 ปี ได้เข้าสู่การพิจารณาหมด และถือเป็นความฉลาดของผู้บริหารที่ปล่อยให้การดำเนินการเป็นไปตามกลไกปกติ ไม่ได้ใช้อำนาจเผด็จการไปสั่งหรือบังคับ
ที่สำคัญ ทางมิติทางการเมืองด้วยการมีอำนาจเบ็ดเสร็จห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหว ช่วยไม่ให้มีข่าวลบตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือถ้าเป็นข่าวลบก็เป็นข่าวลบที่สร้างขึ้นเอง หรือทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ถือเป็นความได้เปรียบของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
จุติ มองว่าผลงานของรัฐบาลที่ทำได้ดีคือการแก้ปัญหาจนองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) ได้ปลดธงแดงประกาศถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน มาจนถึงเรื่องการปราบปรามลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง
“ความต่อเนื่องมีส่วนช่วยให้การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสามารถเดินได้ดี ทั้งมีรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง แต่อาจจะมีจุดอ่อนอยู่ตรงการให้ข้อมูลต่อสาธารณะ การตรวจสอบทำได้น้อยกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง ซึ่ง ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ออกมาระบุถึงข้อบกพร่องจุดอ่อน ซึ่งต่อมามีการรับฟังและแก้ไข”
อีกโครงการที่ดีคือโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพิ่มขีดความสามารถ เช่น ศูนย์สร้าง ซ่อมเครื่องบิน นำไปสู่การพัฒนาท่าเรือน้ำลึก สนามบินอู่ตะเภา หรือการท่องเที่ยวที่ทำได้ดี สามารถนำรายได้มาชดเชยการส่งออกที่ขาดดุล
รวมทั้งนโยบายด้านการต่างประเทศที่ 2 ปีแรกเป็นไปด้วยความลำบากมาก จนต่อมาสามารถฟื้นสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป ประธานาธิบดีสหรัฐเชิญนายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติไปพบที่ทำเนียบขาว ซึ่งทั้งหมดมาจาก 1.ความอึด 2.เป้าหมายการทำงาน 3.โชคช่วย
"สถานการณ์โลกของเกาหลีเหนือและสหรัฐ ทำให้สหรัฐต้องหาพรรคพวก จำเป็นต้องหันมาทางไทย อียูเองก็เกรงว่าถ้าไม่ฟื้นสัมพันธ์ก็อาจกระทบการค้า ผลประโยชน์ เศรษฐกิจ จึงมาฟื้นความสัมพันธ์ ถือเป็นโชคช่วย"
แต่นโยบายที่เป็นจุดอ่อนคือเรื่องแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวเถื่อนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตรงนี้ กระทรวงแรงงานมองปัญหาไม่ครบทุกมิติ เป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง แต่ไปสร้างปัญหาสองอย่างปัญหาระบบแรงงานต่างด้าวก็ไม่จบ ขณะเดียวกันก็เพิ่มต้นทุนการทำธุรกิจ หวังว่ารัฐมนตรีใหม่จะแก้ปัญหาตรงนี้
ส่วนนโยบายที่น่าผิดหวังนั้น เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์มองว่าเรื่องใหญ่คือ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำเกิดสภาพจนกระจุกรวยกระจาย ในฐานะที่เป็น สส.มาหลายสิบปี ปีนี้ 2560 เป็นปีที่ชาวบ้านจนกรอบที่สุด สาเหตุจากหนี้ครัวเรือนสูง ที่ผ่านมามีการอัดฉีดให้ชาวบ้านมีสภาพคล่อง ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้
“ตอนนี้โดนสองเด้งคือหนี้เพิ่มจากเดิม ค่าครองชีพเพิ่ม แต่รายได้การเกษตรลดลง ผมสงสัยว่า รัฐบาลบอกไม่ใช้เงินไปกับประชานิยมเพราะจะทำให้เสียนิสัย แต่งบกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ทั้งโครงการเสริมรายได้ที่ออกมาช่วยเหลือคนจนใช้เงินมากกว่าประชานิยมมากกว่า”
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอให้ย้อนนึกถึงคำพูดของ วัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่สอนรัฐบาลว่าเอาชนะระบอบทักษิณไม่ยากเลย แค่ทำให้ชาวบ้านกินอิ่มนอนหลับ อยู่ดีมีสุข แค่นี้คุณก็ชนะระบอบทักษิณแล้ว ที่วัฒนาพูดไม่มีอะไรจริงกว่านี้ นายกฯ น่าจะให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจ สังคม ทุกคนแปะข้างฝาไว้เลยว่าได้ทำตามนี้แล้วหรือยัง
ทุกวันนี้ระบบราชการไม่ได้รักษาประโยชน์ของประชาชน เรามีคนจนต่ำกว่าขีด 7 ล้านคน หากเปิดให้ติดระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่บ้านแล้วขายให้รัฐ เขาก็จะมีเงินทอนเหลือมาใช้จ่ายปีละเป็นหมื่น ค่าไฟก็ไม่ต้องเสีย รัฐก็ไม่ต้องเสียเงินสักบาท แต่กลับทำไม่ได้เพราะเขากลัวว่าการไฟฟ้าฯ จะอยู่ไม่ได้
แนวคิดเรื่องระบบราชการนี้คิดถูกแต่ผิดเวลา วันนี้ต่างจากรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เมื่อ 20 ปีก่อน อีกทั้งระบบราชการสร้างมาให้ขั้นตอนเยอะ เปลี่ยนแปลงยาก ราชการไม่ถูกสอนให้ค้าขาย แต่ถูกสอนให้สร้างกฎระเบียบ สอนให้กำกับควบคุม
“โลก 20 ปีที่แล้วกับวันนี้เหมือนขาวกับดำ นี่คือจุดอ่อนที่สุด ความคิดราชการไม่ยินดียินร้ายกับความเดือดร้อนของประชาชน สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ทำคือปฏิรูประบบราชการ และนี่จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำไทยแลนด์ 4.0”
จุติ กล่าวว่า ต้องถามว่าวันนี้นักการเมืองที่เคยถูกด่าว่าเป็นไอ้ขี้โกงทั้งหลาย หายหน้าไปแล้ว ทำไมต้นทุนทำธุรกิจไม่ลด ที่เคยบอกว่านักการเมืองกินไป 30% วันนี้ไม่มีนักการเมือง แต่ทำไม 30% ไม่ลด ดังนั้นระบบบราชการต้องรับผิดชอบ
อย่างระบบตรวจคนเข้าเมือง สิงคโปร์ใช้เทคโนโลยีไม่เกินครึ่งนาที แต่ไทยคิวยาวแก้ปัญหาโดยเพิ่มเวร เพิ่มโต๊ะ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีช่วย เป็นวิธีคิดแบบราชการ ไทยแลนด์ 4.0 ระบบเข้าเมืองยัง 0.4 คนทำงานก็ทำงานเหนื่อยตาย ไม่ได้หยุด
“เรื่องปฏิรูปทุกวันนี้ยังไม่ได้ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม หาก พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าอยากอยู่ต่อนานขึ้นเพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง ก็อยู่ไปเลย แต่ขอให้ระบุเลยนะว่า ฉันจะปฏิรูประบบราชการให้ได้ระดับไหน ปฏิรูปตำรวจให้ได้ขนาดไหน โอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมขนาดไหน บอกมาเลย เรารอได้”
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้เราเสียเวลาไปมาก หลายอย่างยังไม่ได้ทำอย่างเรื่องปฏิรูปตำรวจ เห็นทำอยู่อย่างเดียวคือจะขึ้นเงินเดือนตำรวจ เพราะเงินเดือนน้อย เพื่อจะได้ไม่มีการคอร์รัปชั่น ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยหรือ
“ถ้าเรื่องปฏิรูปต้องถือว่าสอบตกเรื่องการปฏิรูปราชการ ปฏิรูปตำรวจ เรื่องดิจิทัล สอบตกอย่างมากคือไอซีที ที่ผ่านมามีคำพิพากษาตอนยึดทรัพย์ทักษิณ ให้หน่วยงานทวงคืนอะไรมาบ้าง ทรัพย์สิน ค่าปรับ ความเสียหาย ผ่านมา 7 ปี มีหน่วยงานใดไปตามเอาคืนให้หลวงไหม รวมดอกเบี้ยเสียหายเป็นแสนล้าน บวกค่าเสียโอกาสอีก”
อดีต รมว.ไอซีที กล่าวอีกว่า ศาลระบุว่าดาวเทียมที่ยิงไปไม่ตรงสเปก บริษัทเอกชนต้องสร้างดาวเทียมขึ้นยิงใหม่เพื่อทำให้ถูกต้อง ตอนนี้ยังไม่บังคับทำให้ถูกต้อง แถมเขาจะขอยิงดาวเทียมใหม่ที่นอกสเปกอีก ไม่รู้อะไรทำให้ข้าราชการตาบอดไม่เห็นความเสียหายเหล่านี้
อีกเรื่องที่อยากให้เปลี่ยนคือวิธีการจัดทำงบประมาณ ซึ่งหากไปเปิดดูเอกสารงบประมาณ เมื่อปี 2518, 2535, 2560 แทบไม่มีข้อแตกต่าง มีเพิ่มเรื่องแผนยุทธศาสตร์ พันธกิจแค่นั้น ส่วนวิธีการจัดหมวดเหมือนเดิม ทั้งนี้อยากให้มีการประเมินประสิทธิภาพฝ่ายบริหารของระบบราชการ
“ปีสุดท้ายที่เหลือของ คสช.ต้องปรับวิธีคิดใหม่หมด คือถ้าพวกคุณไม่ทำ หลังเลือกตั้งพวกผมจะไปทำเอง ทั้งลดขั้นตอนระบบราชการ ลดต้นทุนทางธุรกิจ และสองการปรับปรุงกฎหมายฉบับไหนออกเกิน 10 ปี ให้หน่วยงานนั้นยืนยันว่ายังต้องใช้ หรือจะปรับปรุงตรงไหนบ้าง โลกเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป กฎหมายที่ดิน กฎหมายท้องที่ ร้อยกว่าปีไม่เปลี่ยนเลย”
“ส่วนข้ออ้างที่ว่าจะอยู่ต่อเพื่อทำปฏิรูปให้เสร็จนั้น ผมพูดตั้งแต่ต้นแล้วก็ถูกเพื่อนด่าว่าไม่รักประชาธิปไตย ไปเชียร์ทหาร ผมพูดความจริงว่าผลประโยชน์สูงสุดของประเทศอยู่ตรงไหน ต้องยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศ ผมไม่ดัดจริต
ผมบอกเลยว่าเมื่อรัฐบาลเลือกตั้งทำยาก ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ แก้ปัญหาที่รัฐบาลเลือกตั้งทำไม่ได้ให้หมด อย่าไปคำนึงถึงเรื่องเวลา ตอนนั้นบอกเลือกตั้งปี 2558 ใช่ไหม ผมให้สัมภาษณ์ปี 2557 อย่าคำนึงเวลา ทำเรื่องนี้ให้เสร็จ ผมก็ถูกด่า”
“วันนี้ผมก็ยังคงยืนยันคำพูดนั้นอยู่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีเวลาเหลือ 12 เดือน ก็ขอให้ทำให้เสร็จ ทำไม่เสร็จขออยู่ต่อไป แต่ทำให้เสร็จ แต่หากทำไม่เสร็จจริงก็ต้องขอโทษประชาชนว่าทำไมทำไม่เสร็จ ทำไม่ได้เพราะอะไร ใครต่อต้าน วันนี้ประชาชนเทใจให้คุณแล้ว อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ที่คุณแล้ว”
จุติ ระบุว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา มีสิ่งที่ คสช.ทำได้เยอะ แต่เขาอาจจะจัดลำดับก่อนหลัง หากคิดเชิงบวกหากทำปฏิรูปราชการก่อน อาจได้รับการต่อต้านจนทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ดังนั้นอาจเอาไว้ตอนท้ายแล้วฟันฉับๆๆๆ ด้วยมาตรา 44 ทำเรื่องระบบราชการ ปฏิรูปตำรวจ ถ้าเป็นอย่างนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกแน่นอน