posttoday

รำลึกพระราชกรณียกิจ "ร.9" ทรงงานเพื่อคนไทยทั้งประเทศ

05 ธันวาคม 2560

ความลึกซึ้งของพระราชกรณียกิจสำคัญของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงทุ่มเททำไว้ให้ชาวไทยทั้งประเทศ

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

ในทุกปีของวันที่ 5 ธ.ค. ถือเป็นวันสำคัญของคนไทยทั้งประเทศ เนื่องจากรัฐบาลประกาศวันดังกล่าวเป็นวันชาติไทยมีความสำคัญถึง 3 วาระในวันเดียวกัน คือ 1.เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 2.เป็นวันชาติ และ 3.เป็นวันพ่อแห่งชาติ ทั้งหมดเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานต่อประเทศชาติและประชาชนเสมอมา รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาอีกด้วย

เชื่อว่าคนไทยทุกคนล้วนตระหนักถึงพระราชกรณียกิจมากมายหลายโครงการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่พระองค์ทรงคิดและลงมือทำไว้ให้หลายโครงการ แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบเรื่องราวอย่างลึกซึ้งถึงพระราชกรณียกิจสำคัญๆ เหล่านี้

อย่างเช่น “โครงการฝนหลวง” ที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดารกว่า 15 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรและนักประดิษฐ์ควายเหล็กที่มีชื่อเสียงเข้าเฝ้าฯ แล้วพระราชทานแนวความคิดนั้นแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล

โดยมีทฤษฎีต้นกำเนิดจากแนวคิด “หลักการแรกคือ ให้โปรยสารดูดซับความชื้น (เกลือทะเล) จากเครื่องบิน เพื่อดูดซับความชื้นในอากาศ แล้วใช้สารเย็นจัด(น้ำแข็งแห้ง) เพื่อให้เกิดความชื้นกลั่นตัวและรวมตัวเป็นเมฆ” จากทฤษฎีดังกล่าวพระองค์ยังใช้เวลาในการคิดค้นทดลองนานอีกกว่า 14 ปี ในการวิเคราะห์วิจัยเพื่อประกอบการค้นคว้าทดลองมาโดยตลอด จากการดำเนินการลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ สร้างความปลื้มปีติให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศจนถึงปัจจุบัน เพราะความเดือดร้อนเกี่ยวกับภัยแล้งสร้างความทุกข์อย่างหนักหนามานาน

แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ทำให้กระบวนการสร้างฝนหลวงเปลี่ยนพื้นที่ภัยแล้งเป็นความชุ่มชื้นแทน นั่นก็เป็นที่มาของพระราชกรณียกิจด้านโครงการฝนหลวง

ถัดมา “โครงการกังหันน้ำชัยพัฒนา”ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาน้ำเสียที่เกิดขึ้น และทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ หลังจากทรงทอดพระเนตรสภาพน้ำเสียพื้นที่หลายแห่งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จึงพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการแก้ไขน้ำเน่าเสีย ในระยะแรกระหว่างปี 2527-2530 ทรงแนะนำให้ใช้น้ำที่มีคุณภาพดีช่วยบรรเทาน้ำเสีย และวิธีกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวาและพืชน้ำต่างๆ สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง

แต่ปัญหาน้ำเสียไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงกลับมีแนวโน้มอัตราความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การใช้วิธีธรรมชาติไม่อาจบรรเทาความเน่าเสียของน้ำได้เท่าที่ควร พระองค์ท่านจึงพระราชทานพระราชดำริให้ประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศแบบประหยัดค่าใช้จ่ายที่ผลิตได้เองในประเทศ ซึ่งมีรูปแบบ “ไทยทำไทยใช้” โดยทรงได้แนวทางจาก “หลุก” ซึ่งเป็นอุปกรณ์วิดน้ำเข้านาที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นจุดคิดค้นเบื้องต้น และทรงมุ่งหวังที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการบรรเทาน้ำเน่าเสีย

จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษาและวิจัยสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ โดยดำเนินการจัดสร้างเครื่องมือบำบัดน้ำเสียร่วมกับกรมชลประทาน ซึ่งได้มีการผลิตเครื่องกลเติมอากาศขึ้นในเวลาต่อมา และรู้จักกันแพร่หลายทั่วประเทศในปัจจุบันคือ “กังหันน้ำชัยพัฒนา”

รำลึกพระราชกรณียกิจ "ร.9" ทรงงานเพื่อคนไทยทั้งประเทศ

 

นอกจากนี้ยังมี “โครงการแกล้งดิน”เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวในพื้นที่ จ.นราธิวาส และพื้นที่ใกล้เคียง ให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ทำการศึกษาวิจัยและปรับปรุงดินโดยวิธีการ “แกล้งดิน” คือทำให้ดินเปรี้ยวเป็นกรดจัดรุนแรงที่สุด ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกโดยนำน้ำเข้าแปลงทดลองระยะหนึ่ง และระบายน้ำออกให้ดินแห้งระยะหนึ่งสลับกัน จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกรดมากยิ่งขึ้น

ด้วยหลักการนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9ทรงให้เลียนแบบสภาพธรรมชาติ ซึ่งมีฤดูแล้งและฤดูฝนเป็นปกติในแต่ละปี แต่ให้ใช้วิธีการร่นระยะเวลาช่วงแล้งและช่วงฝนในรอบปีให้สั้นลง โดยปล่อยให้ดินแห้ง1 เดือน และขังน้ำให้ดินเปียกนาน 2 เดือน สลับกันไป เกิดภาวะดินแห้งและดินเปียก 4 รอบ/1 ปี เสมือนกับมีฤดูแล้งและฤดูฝน 4 ครั้ง ใน 1 ปี หลังจากนั้นจึงให้หาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้

และ “ทฤษฎีใหม่เศรษฐกิจพอเพียง”ถือเป็นโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจและนำไปปฏิบัติใช้อย่างมาก เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยเป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในขั้นต้น โดยการทำเกษตรทฤษฎีใหม่นี้แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นต้นคือ การแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ตามอัตรา 30-30-30-10 เพื่อขุดเป็นสระกักเก็บน้ำร้อยละ 30 ปลูกข้าวในฤดูฝนร้อยละ 30 ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผักสมุนไพร ร้อยละ 30 และเป็นที่อยู่อาศัยอีกร้อยละ 10

ขณะเดียวกันเป้าหมายของทฤษฎีใหม่เศรษฐกิจพอเพียง คือต้องการให้ประชาชนบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์ตามแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง

อย่างไรก็ตาม ยังมีพระราชกรณียกิจอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถหยิบยกมาได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำไว้สร้างแรงบันดาลใจและแนวปฏิบัติในการใช้ชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงทุ่มเททำไว้ให้ชาวไทยทั้งประเทศ