posttoday

3.6 หมื่นล้านซื้อเรือดำน้ำ เอามาช่วยโปะ "บัตรทอง" ดีไหม?

01 พฤษภาคม 2560

ปัจจุบันการใช้งบประมาณไปกับการรักษาพยาบาลประชาชนมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก

โดย...พัชรศรี ปิ่นแก้ว, เพชรลักษมณ์ สุ่มมาตย์

กลายเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบกับ “ความคุ้มค่า” ของการใช้งบประมาณก้อนโต 3.6 หมื่นล้านบาท ไปกับการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน 3 ลำ ด้วยเหตุผลเรื่อง “ความมั่นคง” ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ตกสะเก็ดและยังมีปัญหาอีกมากมายกำลังรุมเร้า โดยเฉพาะเรื่องปากท้องของชาวบ้านที่ต้องการงบประมาณไปสะสางเยียวยาอีกจำนวนไม่น้อย

นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และอดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวว่า ปัจจุบันการใช้งบประมาณไปกับการรักษาพยาบาลประชาชนมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก โดยในส่วนของข้าราชการ 5 ล้านคน ใช้งบประมาณ 7 หมื่นล้านบาท มากกว่า 2-3 เท่า ถ้าเทียบหัวต่อหัวกับประชาชนส่วนที่เหลือในสังคมอีก 48 ล้านคน ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนเพียงแค่ 1.4 แสนล้านบาท

“หากเทียบกันจะเห็นว่าการใช้เงินจำนวนมหาศาลกับการซื้อเรือดำน้ำ ดูจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระ รวมถึงยังเป็นเรือที่ยังถูกตั้งคำถามมากมายแต่ยังไม่ได้คำตอบ เช่น เรือคุณภาพดีจริงหรือไม่ ดังนั้นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติควรต้องคิดหน้าคิดหลังให้มากขึ้น หรือหากนำเงินจำนวน 3 หมื่นกว่าล้านบาทมาใช้กับบัตรทองก็จะช่วยได้มากขึ้น จากปกติบัตรทองที่มีงบประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท”นิมิตร์ กล่าว

อดีตบอร์ด สปสช. ระบุว่า รัฐบาลควรกลับมาคิดถึงเรื่องพัฒนาระบบรัฐสวัสดิการให้ดีขึ้นโดยไม่ใช่แบบประชานิยม แต่ต้องทำให้เป็นรัฐสวัสดิการที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องมาพิสูจน์ว่าจนหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้งเรื่องการขึ้นทะเบียนคนจนและผู้สูงอายุ ซึ่งสังคมไทยจำเป็นที่จะต้องจัดการเรื่องความมั่นคงเรื่องรายได้ของผู้สูงวัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังปัดภาระไปให้กับลูกหลานที่ลำพังเงินก็ไม่พอกินอยู่แล้ว

ศก.ไม่ดีต้องลดงบมั่นคง เน้นแก้ปัญหาปากท้อง

คำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา กล่าวว่า การใช้งบประมาณที่สูงมากไปกับการซื้อเรือดำน้ำ ขัดแย้งกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลบอกให้ประชาชนรัดเข็มขัด อีกทั้งยังให้สรรพากรเรียกภาษีจากคนมากขึ้น ควรที่จะนำเม็ดเงินนั้นมาพัฒนาในด้านที่สำคัญ เช่น พัฒนาสาธารณูปโภค การคมนาคม ระบบการขนส่ง หรือปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่

ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ถ้าเอางบประมาณไปใช้กับเรื่องสาธารณูปโภค จะได้ผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ เรื่องความปลอดภัย เพราะระบบขนส่งดี คุณภาพชีวิตคนก็ดีขึ้น แต่พอผ่านความเห็นชอบของ ครม.ไปแล้วประชาชนก็คงไปคัดค้านยาก

คำรณ กล่าวว่า ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี การใช้งบประมาณไปกับความมั่นคงควรจะลดลง หรือในส่วนของงบประมาณที่ไม่ได้สร้างรายได้ก็ควรต้องงดไป ประโยชน์จากเรือดำน้ำหากเอามาใช้ในน่านน้ำอันดามันที่มีความลึกพอจะสามารถปฏิบัติการได้อย่างดี แต่หากใช้ตรงอ่าวไทยที่หลายคนคิดว่าตื้นก็จะใช้งานได้ระดับหนึ่ง

“แต่ถ้าถามถึงความจำเป็นตอนนี้ ถามว่าจำเป็นไหม ก็คิดว่ายังไม่จำเป็น แต่ถ้ามีเงินเหลือเฟือกองทัพเรือควรมีไหม ก็ไม่แปลก คือถ้าเรามีเงินคงคลังที่เหลือเฟือและฐานะทางเศรษฐกิจในประเทศดีก็ไม่มีปัญหา”คำรณ กล่าว

รัฐบาลทุ่มงบประมาณแก้ปัญหาสังคมน้อยไป

ศ.พิเศษ ภาวิช ทองโรจน์ นักวิชาการด้านการศึกษา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำ โดย ครม.อนุมัติการจัดซื้อไปแล้ว จำนวน 1 ลำ วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาทนั้น หากนำมาเปรียบเทียบกับการนำงบประมาณจำนวนเท่ากันมาใช้เพื่อสนับสนุนการศึกษาในประเทศนั้นไม่สามารถเทียบกันได้ เพราะมีเหตุผลและความจำเป็นที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม หากมองจากสถานการณ์โลกในปัจจุบัน การจัดซื้อเรือดำน้ำอาจมีความจำเป็น ขณะที่หากนำงบประมาณจำนวนดังกล่าวไปสนับสนุนด้านการศึกษา ก็มองว่าเป็นตัวเลขที่ยังน้อยเกินไป โดยหากเปรียบเทียบแล้วงบ 1.3 หมื่นล้านบาท เท่ากับงบประมาณที่รัฐนำไปสนับสนุนมหาวิทยาลัยมหิดลเพียงแห่งเดียวเท่านั้น หรือคิดเป็น 20% ของงบประมาณการศึกษาทั้งปีเท่านั้น

ศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการด้านการศึกษา กล่าวว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่รัฐบาลต้องชั่งใจระหว่างเรื่องความมั่นคงและการแก้ไขปัญหาด้านสังคม อย่างไรก็ตามมองว่ารัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการทุ่มเทงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาด้านสังคมอย่างครบวงจรน้อยเกินไป

“ยกตัวอย่างจากที่เพิ่งผ่านไป ก็คือ การจัดประชุมสภาเด็กและเยาวชน ซึ่งมีการขับเคลื่อนสภาระดับตำบล 7,000 กว่าแห่ง สภาระดับเทศบาลตำบลอีก 2,000 กว่าแห่ง และสภาใน กทม.อีก 50 เขต ซึ่งรวมแล้วจะมีสภาเด็กและเยาวชนเกิดขึ้นเกือบ 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ แต่รัฐจัดงบประมาณให้น้อยมาก คือแค่ 304 ล้านบาท แค่งบประมาณในการประชุมยังไม่พอ ทั้งที่เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก และถือเป็นการเรียนรู้กระบวนการประชาธิปไตย”ศ.สมพงษ์ กล่าว

ข่าวล่าสุด

ชายแดนเดือด! หุ้นไทยดิ่งหนักกว่า 12 จุด ขีดเส้น 1,250 จุดห้ามหลุด