posttoday

"ชัดเจน โผงผาง คนจริง"พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง

22 มิถุนายน 2557

ทหารนี่แหละที่เอาบันไดไปพาดให้แกนนำทั้งฝั่ง กปปส. และ นปช.ได้ลงอย่างสวยงาม มวลชนก็ไม่เกลียดด้วย

โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ / เอกชัย จั่นทอง

ว่ากันว่า “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กำลังก้าวเข้าสู่ตำแหน่งในนามเรียกขาน “พิทักษ์ 1” ซึ่งเป็นชื่อเรียกผ่านทางวิทยุสื่อสารตำรวจในตำแหน่งของ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” ในเดือน ต.ค.นี้

เพราะความไว้วางใจที่ได้รับจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มาดูแลรับผิดชอบงานด้านความมั่นคง คอยสกัด “ม็อบสามนิ้ว” ต้านการรัฐประหาร ส่งให้ พล.ต.อ.สมยศ เป็นมือไม้สำคัญในการดำเนินคดีต่างๆ ด้านความมั่นคง หมิ่นสถาบัน ปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกวัน

โพสต์ทูเดย์เคาะห้องทำงานของ พล.ต.อ.สมยศ หรือ “บิ๊ก   อ๊อด” เข้าไปสอดส่องความคิด รวมถึงสิ่งที่อยู่ในใจของนายตำรวจผู้ใหญ่คนนี้ ว่าคิดอย่างไรกับตำรวจในยุคปัจจุบันหลังเปลี่ยนถ่ายอำนาจบ้านเมือง
แน่นอนคำถามที่พลาดไม่ได้ พร้อมหรือไม่หากถูกโปรโมท  ขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนใหม่?

“ผมไม่คาดหวังและไม่เคยวาดฝันว่าจะเป็นอย่างนั้น    เป็นอย่างนี้ มีหน้าที่มีงานก็ต้องทำเต็มที่ ผมเป็นลูกชาวไร่ชาวสวน มาได้ขนาดนี้ก็ภาคภูมิใจแล้ว ผมเชื่อนะว่าจะได้หรือ   ไม่ได้เป็นอะไร มันอยู่ที่วาสนาของตัวเราเอง แต่เหนืออื่นใด   ถ้าได้ตำแหน่งแล้วต้องไปแย่งหรือไปทำร้ายใคร คนชื่อสมยศ  ไม่ทำเด็ดขาด”

“จะย้ายพื้นที่ไปไหนผมไม่สน ผมจะไปตำแหน่งที่ว่างเท่านั้น ผมจะไม่ไปแตะคนอื่น ถึงแม้จะมีกำลัง มีพลังก็ไม่ทำ แต่ถ้าว่าง อยู่ ว่ากันไม่ได้นะ สมบัติไม่ได้เป็นของใคร แต่หากเขาเป็นอยู่จะไปเลื่อยเขาไม่มีทาง คนชื่อ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ไม่ทำเด็ดขาด เพราะผมไม่ต้องการสร้างศัตรู”

พล.ต.อ.สมยศ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 31 ประวัติการเติบโตนับว่าโดดเด่น นอกจากต้องรับภารกิจติดตามเหล่าบรรดารัฐมนตรีผ่านหลายยุคสมัยแล้ว การทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็ไม่ได้บกพร่อง โดยเน้นสายงานปราบปรามและงานสอบสวนคดีต่างๆ

ชื่อของ พล.ต.อ.สมยศ ปรากฏเป็นข่าวเมื่อมาคุมคดีพันธมิตรบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 ห้วงเดียวกัน ยังเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีรุกป่าสงวนที่มีบิ๊กตำรวจอย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตแม่ทัพสีกากีมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งตอนนั้น พล.ต.อ.สมยศ ยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.

เวลาผ่านไป ชื่อของ พล.ต.อ.สมยศ เงียบหาย ก่อนจะมามีบทบาทอีกรอบหลังเข้ามาทำงานยาเสพติด ประกบติดกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เข้าคู่กันจนถูกแซวว่าเป็นคนของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ก่อนที่จะถูกเรียกใช้งานจาก คสช.ที่ยึดอำนาจรอบนี้

พล.ต.อ.สมยศ ย้ำว่า ไม่เคยมองใครเป็นคู่ชิงตำแหน่งใดๆ และไม่เคยให้ร้ายใครในแวดวง เพราะทุกคนล้วนเป็นพี่น้อง เพื่อนๆ กันทั้งนั้น จะไปแข่งกันทำไม แต่คิดเสมอว่ามีมิตรเป็น   ร้อยน้อยไป มีศัตรูแค่หนึ่งก็มากไปแล้ว อีก 1 ปีจะเกษียณ จะไม่สร้างศัตรูเด็ดขาด

“ศัตรูในวงการเดียวกันผมไม่เอาหรอก แบบนี้ละกัน ถ้าผมได้เป็นผมก็ไม่ดีใจจนออกนอกหน้า ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ ก็บุญเรามีแค่นี้ มันไม่ถึง แต่อะไรก็ตามที่โยนมาให้ผมทำนะ รับรองได้สนุกแน่นอน

...อีกอย่าง ทุกวันนี้คิดอย่างเดียวคือทำงานทำให้ดีที่สุด และคนอย่างผมไม่ต้องมาสั่ง ถ้าผมอยากทำไม่ต้องมาบอก ผมทำให้เลย เสร็จหมดจดด้วย แต่ถ้าผมบอกว่าไม่ทำก็คือไม่ทำ นิสัย   ผมเป็นอย่างนั้น นี่คือยี่ห้อ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผมชัดเจน ผมโผงผาง แต่ผมคนจริง”

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า ถ้าถึงที่สุดแล้วได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไรก็จะทำงานเต็มที่ ที่สำคัญจะเอาสิ่งต่างๆ ในอดีตมาเป็นบทเรียนและปรับปรุงแก้ไข และจะทำในสิ่งที่คนอื่น (ผบ.ตร.) เขาไม่ทำกัน เพราะมีความเชื่อในสุภาษิตหนึ่งคือ “ถ้าจำเป็นจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ให้เลือกสิ่งที่ยังไม่เคยทำ”

ถามไปว่า เก้าอี้ ผบ.ตร.มันทุกขลาภ เพราะหลายคนที่ลงจากตำแหน่งมักไม่สวยเท่าไร

“อันนี้ก็แล้วแต่ ที่ลงสวยๆ ก็มีนะ อย่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ (อดีต ผบ.ตร.ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) แต่ก็คนเดียว อยากอยู่สวยๆ ลงสวยๆ ก็อย่าเป็นนานไง ไม่เห็นยาก” บิ๊กอ๊อด หัวเราะ

"ชัดเจน โผงผาง คนจริง"พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง

ต้องลืมอดีตเพื่อสีกากีหนึ่งเดียว

พล.ต.อ.สมยศเปิดบทสนทนาถ่ายทอดเรื่องราวของตำรวจ   ในห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่ผ่านมา โดยกล่าวเห็นใจตำรวจ   ผู้ปฏิบัติงานทุกคน แต่เมื่อมีรัฐบาลก็ต้องทำตามคำสั่ง เพราะรัฐบาลคือผู้บังคับบัญชา คำสั่งที่อยู่ในกรอบกฎหมายเอื้อให้ทำได้ ก็ต้องสั่งตำรวจให้ออกไปทำ แน่นอนว่าอาจไม่ถูกใจใครทั้งหมด

“ผมเคยเผชิญหน้ากับม็อบเสื้อเหลืองตั้งแต่วันแรกที่ชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ผมบอกได้เลยว่ากำลังของทหารหรือตำรวจที่ติดอาวุธเองก็ตามไม่มีทางที่จะเอาชนะพลังของประชาชนไปได้ ผมเองเป็นตำรวจที่จะไม่เอากำลังไปทำร้ายประชาชนเด็ดขาด ผมถือปฏิบัติแบบนี้มานาน ขณะเดียวกัน ผมก็จะไม่สร้างเงื่อนไขที่ทำให้ตำรวจต้องตกเป็นจำเลยของสังคม เพราะทำกันไปมา มันมีแต่เลวร้ายและผลเสียมหาศาลในอนาคต”

บิ๊กอ๊อด ยอมรับว่า ตำรวจก็เป็นคน มีรักมีชอบเหมือนกันกับคนทั่วไป เรื่องการเมืองก็เช่นกัน กอปรกับเหตุการณ์ที่เผชิญหน้าล่าสุดระหว่างผู้ชุมนุม ตำรวจ ก็ต้องมีฝังใจกันบ้าง แต่เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาในขณะนี้ต้องละลายความรู้สึกของตำรวจออกไปให้หมดให้ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กำชับเรื่องนี้เป็นมั่นเหมาะ ต้องให้ตำรวจรักใคร่กัน ให้ลืมทุกสิ่ง ตั้งต้นกันใหม่ เพราะท่านรู้ว่าบาดแผลในใจของตำรวจก็มี ตำรวจบางคนก็มีทั้งเหลืองทั้งแดง มันมั่วกันไปหมด แต่ต้องทำให้เป็นเนื้อเดียวกันให้ได้

โจทย์จาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องการเห็นองค์กรสีกาสีเป็นหนึ่งเดียว พล.ต.อ.สมยศจึงรับลูกมาปฏิบัติ โดยทุกครั้งที่มี การประชุมติดตามคดี   ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคงหรือวางแผนปฏิบัติ พล.ต.อ.สมยศ สั่งในที่ประชุมให้ตำรวจ “ห้าม” พูดคำว่าสีเหลืองหรือสีแดง เพราะตำรวจทุกนายไม่มีฝ่าย แต่เป็นพวกพ้องเดียวกันทั้งหมด

“แต่ก็แน่ล่ะ มันต้องยอมรับว่าใครเข้ามามีอำนาจ ข้าราชการก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง จะมาบอกว่าตำรวจเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสีคงไม่ถูกนัก ข้าราชการทุกกระทรวงก็เช่นกัน ต้องทำตามนโยบาย หากไม่สนองจะอยู่ได้ไง แต่จากนี้ต้องใช้เวลาเพื่อสร้างความปรองดองในหมู่คณะของข้าราชการ

ในมุมมองของบิ๊กตำรวจผู้นี้ ซึ่งรับผิดชอบคดีความมั่นคง เห็นว่าหนทางเดียวที่จะคลี่คลายความขัดแย้งคือการพูดคุยทำความเข้าใจกัน ให้อภัย และมาเริ่มต้นกันใหม่ แต่ถ้าเอาชนะกันด้วยกฎหมายหรือเอาชนะกันด้วยกำลังก็ไม่มีทางสำเร็จ

“ทหารนี่แหละที่เอาบันไดไปพาดให้แกนนำทั้งฝั่ง กปปส. และ นปช.ได้ลงอย่างสวยงาม มวลชนก็ไม่เกลียดด้วย การทำม็อบมันเหนื่อย ถ้าอยู่ๆ แกนนำถอดใจยอมแพ้กลางคัน ผมบอกได้เลยว่า...มึงหมดอนาคตแน่ๆ แต่ลงแบบนี้มีทหารเอาบันไดมาให้ มันสวยงามนะ

...อย่างม็อบ กปปส.เขาอยู่มาแล้วกว่าครึ่งปี แล้วอยู่ๆ สุเทพประกาศว่าไม่เอาแล้ว ครอบครัวเรียกให้กลับบ้าน พูดแบบนี้   คิดว่าเอามวลชนอยู่มั้ย หรืออีกฝั่งอย่าง นพ.เหวง ธิดา แม้แต่ จตุพร เขาอยากเลิก มันเหนื่อย อายุก็เยอะกันแล้ว แต่เขา    จะตอบมวลชนแบบไหนล่ะ ทหารเขาเป็นกรรมการเป่านกหวีด เอาบันไดมาพาดให้พวกคุณลงอย่างเหมาะ อย่างนี้ถูกใจทั้งสองฝ่ายเลย คือมันล้ากันหมดแล้ว ถามหน่อยม็อบวันหนึ่งใช้เงินกันเท่าไร หลายล้านนะต่อวัน จะเอาเงินที่ไหน คนสนับสนุนก็เหนื่อยเหมือนกัน ประชาชนก็เบื่อ เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ นักธุรกิจคอก็จะถึงขื่อ ไม่ไหวกันแล้ว”

ที่สำคัญ คสช.มีแผนงานชัดเจนว่าจะทำอะไร ทำแล้วต้องทำจริง แต่หากทำไม่จริงเหมือนรัฐประหารที่ผ่านมา ประชาชนก็คือ ผู้ให้คำตอบเอง หากตอบไม่ถูกใจก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน

พล.ต.อ.สมยศ สำทับว่า “การเห็นนักการเมืองทำงานมานัก ต่อนัก ทำให้รู้ว่านักการเมืองคิดอะไร ขณะเดียวกันก็รู้ว่าข้าราชการประจำเขาคิดอะไรอยู่ ถึงสงสารพวกข้าราชการ เพราะนักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ข้าราชการอยู่ตรงนี้ (ทุบโต๊ะ) ดังนั้นข้าราชการเราอย่าไปทะเลาะกัน อย่าไปแก่งแย่งกัน ให้รักกันเข้าไว้ ตำแหน่งใครก็อยากเป็น แต่มันมีน้อย เหมือน ผบ.ตร.มันมีตำแหน่งเดียวเท่านั้น แต่ถ้าให้ผมไปทะเลาะกัน หรือไปนินทา   ด่าพ่อล่อแม่ ผมไม่ทำ ไม่มีทาง”

"ชัดเจน โผงผาง คนจริง"พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง

ปฏิรูปตร.ต้องเลิกอิงการเมือง

กับคำถามเรื่องการปฏิรูปตำรวจจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า จากประสบการณ์ของหัวหน้า คสช.    พร้อมทีมงานก็มองเห็นปัญหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ     ซึ่งก็คงจะมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แต่ก็คงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เช่นนั้นจะมีแรงกระเพื่อม ตำรวจบางส่วนอาจจะไม่  เข้าใจหรือรับไม่ได้

“เอาจริงๆ ทุกคนก็รู้อยู่ว่าปัญหามันคืออะไร สงสัยว่าทำไมตำรวจต้องไปอิงการเมือง ผมตอบให้ฟัง เพราะกฎหมายข้อบังคับของตำรวจมันไปอยู่ใต้นักการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรีก็เป็นประธาน ก.ต.ช. ประธาน ก.ต.ร. โดยตำแหน่ง ซึ่งมันมีผลโดยตรงต่อการโยกย้าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมาว่าตำรวจไม่ได้ว่าอยู่ภายใต้นักการเมือง ถ้าจะต่อว่าก็ต้องไปว่าคนที่เขียนกฎหมายขึ้นมาให้อยู่ภายใต้การเมืองถึงจะถูก เพราะกฎหมาย ระเบียบ ระบบมันเป็นแบบนั้น ถ้าไม่อยากให้อยู่ภายใต้การเมืองก็ต้องไปแก้ตรงนี้ ไม่ให้นักการเมืองมาหาผลประโยชน์จากตำรวจ ขณะเดียวกันก็ต้องมีกฎหมายไม่ให้ตำรวจหาประโยชน์จากนักการเมืองเช่นกัน

บิ๊กอ๊อด ย้ำอีกว่า เป็นธรรมดาที่คนหวังความก้าวหน้าก็ต้อง   วิ่งเข้าหาผู้ใหญ่หรือนักการเมือง แต่หากแก้ไขได้ก็จะดี และนี่คือ สิ่งแรกที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวัง จากตำรวจให้เปลี่ยนด้วย ส่วนตัวเชื่อว่าข้าราชการตำรวจมีวินัย  มีกฎหมาย พร้อมที่จะปฏิบัติตาม ไม่ใช่ว่าชอบอยู่กับนักการเมือง

“มันไม่ใช่แบบนั้น ไม่มีใครอยากมาถูกข้อครหาหรอก แต่มันพูดลำบาก พูดไปก็เจ็บตัว” พล.ต.อ.สมยศ ทิ้งปริศนา กระนั้นเจ้าตัวก็ยืนยันว่าถ้ามีกฎการเปลี่ยนแปลงให้ตำรวจออกจากนักการเมือง พล.ต.อ.สมยศจะชูมือหนุนเต็มที่ และตำรวจทั้งร้อยก็ต้องเอาหมด

ทั้งหมดคือตัวตนของ พล.ต.อ.สมยศ รอง ผบ.ตร. ที่สะท้อนหลายอย่างในตัว และสำหรับแคนดิเดต ผบ.ตร.คนที่ 10 ของเมืองไทย จะได้เป็นหรือไม่ อีกไม่กี่เดือนก็รู้กัน

"ใช่...ผมเพื่อนสนิทเนวิน"

ภาพลักษณ์ติดตัวว่าเป็นนายตำรวจที่ใกล้ชิดกับ “เนวิน ชิดชอบ” อดีตนักการเมืองชื่อกระฉ่อนที่ไม่มีใครไม่รู้จัก รวมถึงเลยเถิดไปถึงข้อครหาต่างๆ จากสังคมลักษณะที่ว่า “ได้ดีเพราะใกล้ชิดนักการเมือง ก็ไม่ต่างจากตำรวจทั่วๆ ไป ขยับขึ้นเพราะเป็นเพื่อนเนวิน”

“ไม่ปฏิเสธว่ารู้จักกัน” คือคำพูดของ พล.ต.อ.สมยศ ที่พูดถึงคนชื่อ เนวิน ชิดชอบ และยินดีจะปอกหมดเปลือกว่ามีที่มาอย่างไรกับชายมากบารมีแห่งบุรีรัมย์

“เขาเป็นคนสำคัญ เพราะอดีตตอน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นเนวินทำงานให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผมก็ทำงานให้รัฐบาล ก็เลยได้มารู้จักกันเข้า พอมาทำงานด้วยกันกับเนวิน คนสไตล์เดียวกัน นิสัยเหมือนกัน คือทำเร็ว คิดเร็ว กล้าได้กล้าเสีย และรับผิดชอบ เคมีมันต้องกัน จากรู้จักก็กลายเป็นสนิท ‘ชิดชอบ’ เขาก็รักผมเหมือนพี่ ผมก็รักเขาเหมือนน้อง แต่เราไม่เคยมีผลประโยชน์ระหว่างกัน”

ขยายความต่อจากปากของบิ๊กอ๊อดว่า “กระทั่งเนวินมีปัญหากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร จากนั้นผมกับเนวินก็ต่างคนต่างไป ก็ไม่ได้เจอกันหลายปี แต่ยอมรับว่าสนิทกันมาก เคยกินเที่ยวด้วยกัน”

“ถ้ามาถามผมว่าสนิทกับเนวิน ชิดชอบ หรือเปล่า หรือเป็นเพื่อนเนวินมั้ย ถ้าผมตอบว่าไม่ ไม่รู้จัก ไม่สนิทกัน อย่างนั้นหมาที่ไหนมันจะมาคบกับผม และไม่ใช่แค่เนวินที่สนิทด้วย นักการเมืองหลายคนก็รู้จักกันดี พี่เหลิม (ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) ถามสิไม่รู้จักผมหรือ หรือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ชวน หลีกภัย ไม่รู้จักผมเชียวหรือ โธ่ ผมเดินในสภามากกว่า 20 ปี ตั้งแต่ยุคเปรม 1 แล้ว เพราะผมเป็นตำรวจติดตาม มนตรี พงษ์พานิช ผมก็รู้จักทั้งนั้น อยู่ในอารมณ์ที่รู้จักนักการเมืองมากกว่ามานั่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีก แต่ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งกับพวกเขา”

กระนั้นก็ตาม แม้จะสนิทชิดชอบ แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกับเนวินมานานแล้ว ด้วยความที่ต่างคนต่างเป็นนักเลง เป็นลูกผู้ชาย การติดต่อระหว่างกันอาจทำให้อีกฝ่ายต้องตกที่นั่งลำบาก ทั้งสองจึงขอวางตัวให้เหมาะสม แม้ความคิดถึงจะมีในห้วงความคิดตามประสาคนสนิทคนคุ้นเคยกันก็ตาม

“ตอนนี้ต่างก็ทำหน้าที่ ตัวใครตัวมัน เขาก็ไปบ้าเตะฟุตบอลอยู่ที่บุรีรัมย์แล้ว (หัวเราะ) ผมชอบเตะบอลนะ แต่ก็ไม่เคยไปเตะที่สนามของเขาสักที แต่ยอมรับชัดเจน แม้ใครจะมองว่า สมยศ คือเพื่อนเนวิน ผมไม่ปฏิเสธ ก็มันเรื่องจริง” ชัดเจนจากปากของ พล.ต.อ.สมยศ

"ชัดเจน โผงผาง คนจริง"พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง

มองความขัดแย้งแค่เห็นต่างแต่ไม่ฆ่ากัน

“บิ๊กอ๊อด” หรือ พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งถูกมอบหมายรับหน้าเสื่อดูงานความมั่นคงในช่วงยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมอำนาจ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีแรงกระเพื่อมจากกลุ่มคนเห็นต่างคัดค้านกับมาตรการทางทหาร บางส่วนต่างเลือกแสดงพลังต้านทหารตามท้องถนน แต่ก็โรยราไปตามมาตรการเข้มข้นของตำรวจ

พล.ต.อ.สมยศ มองการชุมนุมช่วงแรกที่มีม็อบออกมาประท้วงหลายกลุ่มว่า ต้องเคารพในสิทธิของผู้ชุมนุมที่ออกมาแสดงหรือมาทำกิจกรรมใดๆ บางครั้งในเบื้องต้นอาจยังไม่ทราบข้อกฎหมาย บวกกับทราบข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนอาจผิดเพี้ยนไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ตอนเริ่มต้นจะมีผู้ชุมนุมออกมาต้านจำนวนมากเป็นหลักพันคน ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ กลายเป็นหลักร้อย หลักสิบ จนทุกวันนี้ไม่มีผู้ชุมนุมออกมาตามถนนเหมือนเคย

พล.ต.อ.สมยศ เล่าอีกว่า ได้สอบถามพูดคุยกับผู้ต่อต้านหลังเชิญมาพบเกือบทุกคน กลุ่มคนเหล่านั้นบอกว่าที่มาชุมนุมต่อต้านเพราะอัดอั้นตันใจ เพราะฝ่ายที่เขาชอบถูกเรียกมารายงานตัวอยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายตรงข้ามไม่เห็นเรียก ผมก็บอกไปว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่าฝ่ายที่คุณสนับสนุนถูกเรียกเพราะคุณเห็นข่าวจากสื่อ ด้วยว่าคนที่คุณชอบหรือสนับสนุนเขาเป็นคนดังมากกว่าฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่าสื่อก็ต้องเล่นข่าวคนที่ดังอยู่แล้ว

“ผมจำได้มีป้าคนหนึ่งที่ต่อต้าน คสช. อายุประมาณ 70 ปี ก็เชิญมานั่งคุยกัน พอได้พูดคุยกับทหารและตำรวจแกก็ไม่อยากกลับ ขออยู่ต่ออีก 2 วัน เพราะทหารดูแลดี อยากได้อะไรทหารก็วิ่งไปหามาให้ แกก็แก่แล้ว ทหารก็พาไปหาหมอ นี่คือสิ่งที่ทหารทำ เรียกไปคุยและปรับทัศนคติเท่านั้น”

บิ๊กอ๊อด ปรารภต่อไปว่า การทำงานในช่วงแรกๆ ทางทหารใช้วิธีในลักษณะว่าเรียกกำลังทหารออกมาควบคุมพื้นที่มากกว่ามวลชนที่ออกมาต้าน โดยคิดว่าสามารถคุมสถานการณ์ได้ นั่นจึงเป็นการนำสู่จุดเริ่มต้นความรุนแรงบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้ต้องทบทวนการทำงานขึ้นมาใหม่ โดยเรียกประชุมด่วนกับเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายเกี่ยวข้องทั้งหมด สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าหากใช้วิธีการนำกำลังออกมาแบบนี้สุ่มเสี่ยงอันตราย เกิดความรุนแรงแน่นอน เจ้าหน้าที่ทหารต้องตกเป็นรอง จึงเปลี่ยนเป็นการใช้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชนออกมาดูแลความเรียบร้อย ต้องใช้กำลังตำรวจออกเป็นทัพหน้า แล้วให้ถ่ายภาพเก็บไว้ อย่าไปทำอะไรพวกเขา

“แต่ก็มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวเล็กน้อยทางโซเชียลมีเดีย จะนัดแนะชุมนุมกันตามหน้าร้านสะดวกซื้อ ซึ่งการทำแบบนี้เหมือนใช้จิตวิทยาการชุมนุม แน่นอนว่าร้านมีมากกว่า 4,000 สาขา จะใช้กำลังตำรวจไปเฝ้าตามหน้าร้านก็แปลกอยู่ ผมคิดย้อนวิธีกลับไป จึงเรียกประชุมตำรวจแล้วบอกว่าจะส่งกำลังตำรวจจำนวนมากออกไปประจำตามหน้าร้านสะดวกซื้อเหล่านั้นทุกแห่ง แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้ส่งไปหรอก (หัวเราะ) เพราะจะเอากำลังตำรวจที่ไหนไปยืนเฝ้าหน้าทางเข้า”พล.ต.อ.สมยศ ระบุ

บิ๊กตำรวจท่านนี้ขยายความอีกว่า อย่างกลุ่มนักศึกษาที่ไปกินแซนด์วิชตามที่ต่างๆ เราก็ปฏิบัติตามนโยบายของ คสช. ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ใช้วิธีถ่ายรูปเอาไว้ เอาไปตรวจสอบว่าชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ก็ส่งต่อให้ทหารไป โดยเป็นการเข้าไปพบนักศึกษาเหล่านั้นเพื่อปรับทัศนคติ ขณะเดียวกันก็ไปพบผู้ปกครองเพื่อทำความเข้าใจว่าสิ่งที่ทำมันผิดกฎหมาย ไม่ถูกต้อง เกรงว่าจะมีความผิดติดตัว ไม่มีการใช้ความรุนแรง และไม่มีการใช้กฎหมายสำคัญๆ นี่คือเหตุผลที่ทำให้คนต้านลดลง

“อีกเหตุผลที่ทำให้แรงต้านลดลง เพราะทหารและตำรวจไม่ใช้ความรุนแรง หลีกเลี่ยงการปะทะ ใช้กำลังนอกเครื่องแบบเป็นหลัก ถ่ายรูป หรือกล้องวงจรปิดร้านต่างๆ เพื่อขอภาพข้อมูล ใครทำอะไรไม่จะถูกบันทึกไว้ แต่ขอเตือนว่าคุณทำอะไรผิด ตำรวจมีภาพที่จะเอาผิดแน่นอน เพราะกฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย”

“บิ๊กอ๊อด” แสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า “ม็อบแสดงสัญลักษณ์เขาก็ต้องการสื่อมวลชน อีกมุมสื่อมวลชนก็ต้องการเขา เพราะจะได้มีข่าว พวกนี้พอมีคนชูนิ้ว สื่อต่างชาติจะไป หรือแม้แต่ผู้ชุมนุมที่เป็นผู้หญิง หากเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ เขาจะตะโกนเป็นภาษาอังกฤษเลยนะ ไม่เคยเห็นเขาร้องว่าช่วยด้วยๆ เลย แสดงว่าเขาก็ไม่ต้องการภาพให้สื่อไทยเผยแพร่ แต่ต้องการให้สื่อต่างชาติเอาไปขยายความต่อ แต่ผมไม่ได้ว่าวิชาชีพสื่อ แต่ให้มองอีกมุมว่าสื่อต่างชาติเขารักประเทศไทยมั้ยล่ะ เขาไม่สนว่าประเทศไทยจะเละเทะแค่ไหน เขาได้ภาพไปก็พอใจ แต่เขาไม่ได้มาสนประเทศ ผมไม่ได้เปิดประเด็นความขัดแย้งกับสื่อต่างประเทศ แต่นี่มันคือเรื่องจริง”

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าได้มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติกับกลุ่มคนที่เห็นต่างอย่างดีที่สุดและหลีกเลี่ยงการปะทะ เพราะหากเกิดมาเผชิญหน้ากันจะสุ่มเสี่ยงต่อการเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อย่างคนอียิปต์มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา และมีความขัดแย้งมายาวนานนับพันปี มีการล้างเผ่าพันธุ์ ถูกฝังอยู่ในใจของคนที่ต่างศาสนา แต่คนไทยมันไม่ถึงขนาดนั้น แค่ว่าฝั่งนี้ชอบนักการเมืองคนนั้น ฝั่งนั้นชอบนักการเมืองคนนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยไม่อยากเห็นประเทศไทยเป็นแบบเหมือนประเทศอียิปต์เข่นฆ่ากันเอง ดังนั้นทหารจำเป็นต้องออกมายึดอำนาจเพื่อสร้างกติกาของสังคมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม

“ยกตัวอย่างเหมือนฟุตบอล สองทีมก็มีผู้เล่นฝั่งละ 11 คน ลงสนาม มีกรรมการ 1 คน ไลน์แมน 2 คน ตัดสินแข่งขันกันภายใน 90 นาที เปลี่ยนตัวสำรองได้ฝั่งละ 3 คน เสมอกันต้องเตะลูกโทษ นี่คือกติกา เมื่อเป็นกติกาที่ทุกคนยอมรับ จากเมื่อก่อนกติกาฟุตบอลก็มีการปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆ เช่นกันกว่าจะสมบูรณ์ เช่น กฎโกลเด้นโกล ต่อมามีซิลเวอร์โกล กระทั่งยกเลิกทั้งหมดเพื่อให้เล่นครบเวลา นั่นแหละคือสิ่งที่ทหารเข้ามา”

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังอธิบายถึงการรับผิดชอบดูแลงานความมั่นคงว่า ภารกิจด้านความมั่นคงถือว่าเป็นไปตามคำสั่งตามปกติ เราต้องทำงานร่วมกับทหาร เพราะในขณะนี้อยู่ในภาวะตามกฎหมายอัยการศึก ทหารเป็นหน่วยหลักที่ปฏิบัติตามกฎหมายพิเศษนี้ ส่วนตำรวจจะลดบทบาทลงมาเป็นผู้ให้การสนับสนุนและปฏิบัติตามคำสั่งหรือนโยบายทางทหาร ดังนั้น คำสั่ง หรือนโยบาย ยุทธวิธี ตำรวจต้องรองรับและฟังทหาร เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

“ในส่วนที่รับผิดชอบให้ดูแลผู้ชุมนุม หรือผู้ที่คิดต่างกับการทำรัฐประหาร ตำรวจก็ทำงานร่วมกับทหาร และทุกครั้งที่ออกปฏิบัติ ทหารจะเป็น ผบ.เหตุการณ์ เป็นผู้กำหนดวิธีการ หรือการวางกำลัง โดยตำรวจจะให้การสนับสนุนอย่างเดียว แต่ผมมอบนโยบายไปว่าให้ตำรวจทำงานร่วมกับทหารเหมือนเป็นพี่น้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่

นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้า คสช. ก็กำหนดทุกอย่างไว้ชัดเจน โดยระบุว่าการทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ โดยเหตุที่ต้องเผชิญกับกลุ่มผู้ชุมนุมหรือกลุ่มต่อต้านให้ปฏิบัติโดยไม่ให้ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างทหารและตำรวจ และแนวทางปฏิบัติโดยให้ใช้กฎหมายอาญาก่อน คือจากเบาไปหาหนัก ให้ยึดเอากฎหมายอัยการศึกมาใช้”พล.ต.อ.สมยศ ทิ้งท้าย