posttoday

พท.ซัด"บิ๊กตู่"แจกเงินยิ่งกว่า "ประชานิยม"อาจพาชาติล่มจมเพราะหนี้พุ่ง

11 กุมภาพันธ์ 2565

คณะทำงานเศรษฐกิจเพื่อไทย” ห่วง “ประยุทธ์” ไม่เข้าใจ แจกเงินแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ สร้างงานสำคัญกว่า ซัด แจกเงินยิ่งกว่า “ประชานิยม” อาจพาชาติล่มจมจริงเพราะหนี้พุ่ง แนะ เลือก “เพื่อไทย” พาชาติพ้นภัย

เมื่อวันที่ 11 กพ. 65 นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหาร และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ที่ 9.62 ล้านล้านบาท คิดเป็น 59.58% ของจีดีพี อีกไม่นานคงทะลุ 10 ล้านล้านบาท และ เกิน 60% ของจีดีพีแน่นอน ในขณะที่ หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงกว่า 14.35 ล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่มีแนวทางที่จะลดหนึ้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนนี้ และยังกลับคิดว่าการแจกเงินเป็นทางแก้ไขของปัญหา ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้นเพราะเป็นการกู้มาแจกทำให้หนึ้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น แต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ พิสูจน์ได้จาก พลเอกประยุทธ์แจกเงินมาหลายปีแล้ว แต่คนกลับจนลง หนี้ครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้พยายามชี้แนวทางว่าต้องสร้างงาน เพราะไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะจนทั้งแผ่นดินซ้ำเติมภาวะแพงทั้งแผ่นดิน

ทั้งนี้ แทนที่พลเอกประยุทธ์จะเข้าใจ กลับส่งคนออกตอบโต้ท้าให้ยกเลิกบัตรคนจน เที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ ยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งน่าจะเข้าใจสถานการณ์ผิดพลาดหมด ความเป็นจริงคือคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังลำบากจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์เป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องทำ แต่การสร้างงานสำคัญกว่าการแจกเงินมาก แจกเงินใช้ไม่นานก็หมดไป แต่การสร้างงานจะทำให้เป็นรายได้ที่ถาวร ซึ่งเชื่อว่าถ้าเลือกได้ประชาชนคงอยากได้เงินเดือนประจำในระดับที่จะเลี้ยงครอบครัวได้สบาย มากกว่าจะมารับแจกเงินเพียงไม่กี่พันบาทตามนโยบายปัจจุบัน ดังนั้นนโยบายของคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยจะมุ่งสร้างงานเป็นหลัก มากกว่าจะกู้เงินมาแจกเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งในประเทศที่เจริญแล้วดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือดัชนีวัดการจ้างงาน โดยเฉพาะปัจจุบันที่ประเทศไทยมีประชาชนตกงานกันมากถึงหลายล้านคน

ทั้งนี้หากมองย้อนหลังจะพบว่ามีวาทกรรมในอดีตกล่าวหานโยบายช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่น 30บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอทอป SMEs SML ฯลฯ ว่าเป็น “ประชานิยม” และ จะพาชาติล่มจม ทั้งที่โครงการเหล่านี้ที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย สร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมาก ประชาชนมีรายได้เพิ่ม มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข และที่สำคัญคือตลอดเวลาหลายปีที่ดำเนินนโยบาย หนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณ 40% ของจีดีพีเท่านั้น ประเทศไม่ได้ล่มจมตามวาทกรรมใส่ร้ายแต่อย่างใด

ในขณะที่ปัจจุบันพลเอกประยุทธ์แจกเงินสะเปะสะปะ ประเทศไม่ได้พัฒนา คนจนลงกันหมด ซึ่งยิ่งแจก คนยิ่งจน หนี้ยิ่งเพิ่ม โดยหนี้สาธารณะของประเทศพุ่งไม่หยุด ต้องขยายเพดานหนี้จาก 60% เป็น 70% แล้ว และยังมีแนวโน้มจะต้องขยายเพดานกันอีกถ้ายังบริหารแบบนี้ และยังจะกู้เงินมาแจกแบบนี้ ซึ่งน่าจะแจกเงินแล้วอาจจะทำให้ชาติล่มจมจริงๆ มากกว่าในอดีตมาก เพราะหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นจริง หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นสูงจริง และพลเอกประยุทธ์ยังไม่รู้ว่าจะลดหนี้ได้อย่างไรเลย แบบนี้ไม่พาชาติล่มจมแล้วแบบไหนจะเรียกพาชาติล่มจม ซึ่งตัวเลขไม่โกหกและสามารถพิสูจน์ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้วาทกรรมใส่ร้าย คนรุ่นใหม่แล้วไม่มีใครหลอกใครได้ ดังนั้นจึงพิสูจน์แล้วว่าในอดีตที่บอกว่าประชานิยมพาชาติล่มจมจึงไม่จริงแต่ปัจจุบันที่กู้เงินมาแจกแบบเงินสะเปะสะปะแบบที่เป็นอยู่ ชาติอาจจะล่มจมได้จริงๆ ซึ่งอยากให้ผู้ที่เคยใช้วาทกรรมแบบเดิมได้พิจารณาให้ชัดเจนว่าแบบไหนที่ชาติจะล่มจมจริง และหันมาสนใจชาติที่กำลังจะล่มจมกันจริงๆในปัจจุบัน จากการบริหารที่ล้มเหลวแต่คิดได้แค่จะแจกเงินเพื่อรักษาความนิยมเท่านั้น

ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และยังไม่มีทิศทางที่จะฟื้นได้อย่างไร ประเทศต้องการผู้นำที่ต้องสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้ และต้องมีทิศทางของประเทศชัดเจนว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร การประคองตัวอยู่ไปวันๆแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นก็มีแต่จะเสื่อมลงเท่านั้น ขนาดประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังต้องเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เพราะปัจจุบันยังไม่เห็นทิศทางว่าจะมีอะไรดีขึ้น ยิ่งถ่วงเวลาปัญหาของประเทศจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและจะแก้ไขยากขึ้น หรืออาจจะแก้ไม่ได้เลยถ้ายังจะทำความเสียหายไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุด และอยากให้มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาและนำพาประเทศพ้นวิกฤติได้หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชน หรือ “เลือกพรรคเพื่อไทยพาชาติพ้นภัย”