posttoday

แรมโบ้แจงบิ๊กตู่ใช้หนี้จำนำข้าวแทนยิ่งลักษณ์ กู้เงินแก้โควิดเพื่อพัฒนาประเทศ

03 มิถุนายน 2564

“แรมโบ้ อีสาน”โต้เพื่อไทยแจงรายละเอียดใช้หนี้จำนำข้าว 7.5 แสนล้านบาทยันรัฐบาลกู้เงินมาแก้โควิด-19และพัฒนาประเทศขอฝ่ายค้านเปิดใจมองเป็นกลาง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ซึ่งพรรคเพื่อไทย ทั้งนายสุทิน คลังแสง และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อภิปรายเปรียบเทียบการก่อหนี้ของรัฐบาลกับโครงการรับจำนำข้าวในสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยชี้แจงว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฎต่อสังคม ตั้งแต่ปี 2560 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ได้ศึกษาโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดไว้ เมื่อปี 2557 ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ใน 5 ฤดูการผลิต มีผลการขาดทุนทางบัญชีอยู่ที่เบื้องต้น 5.19 แสนล้านบาท แต่เท่าที่ทราบยอดขาดทุนทางบัญชี พุ่งขึ้นไปมากกว่า 6 แสนล้านบาท เหมือนอยู่ดีๆ คนไทย 60 กว่าล้านคนทั้งประเทศ ต้องมาเป็นหนี้คนละ 9,562 บาท และรัฐบาลนายกฯ ประยุทธ์ใช่หรือไม่ ที่เร่งรัดใช้หนี้ชาวนา/ค่าข้าวเปลือกตามใบประทวน กว่า 8.84 แสนล้านบาท

ยิ่งกว่านั้นยังมีค่าบริหารโครงการขององค์การคลังสินค้า(อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) ค่าภาระดอกเบี้ย ค่าเช่าคลังของเอกชนในการเก็บรักษาข้าวและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 8.4 หมื่นล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 9.68 แสนล้านบาท พอๆ กับการแก้ปัญหาโควิดที่เป็นปัญหาระดับโลกหากจะเปรียบเทียบจำนวนหนี้ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายกฯประยุทธ์ ยังพบว่านางสาวยิ่งลักษณ์บริหารงานไม่ถึง 3 ปี ก่อหนี้ 3,300,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 1,100,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลนายกฯประยุทธ์ บริหารงานมา 7 ปี มีหนี้ 4,285,000 เฉลี่ย ปีละ 612,142 ล้านบาท แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ น่าเห็นใจ สำหรับนายกฯ ประยุทธ์ คือต้องมาใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ ตรงตามที่โบราณว่า “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ” แถมโดนปั่นกระแสบิดเบือนอีก

นอกจากเรื่องหนี้แล้ว สังคมต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันว่าโครงการจำนำข้าว “ทุกเมล็ด” สร้างปัญหาอะไรบ้าง เช่น ทำให้กลไกตลาดถูกบิดเบือน เพราะไปตั้งราคารับจำนำสูงลิ่ว ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ตามกลไกตลาด กระตุ้นเกษตรกรมุ่งปลูกข้าวเพื่อมาขายรัฐ เน้นปริมาณ ไม่สนคุณภาพ พ่อค้าข้าวก็ล่มจม เพราะซื้อข้าวแข่งรัฐไม่ได้ หันมาเปิดโกดังรับเก็บข้าวเปลือกให้รัฐ เป็นเสือนอนกินรูปแบบใหม่ รัฐต้องรับภาระค่าโกดัง-ค่าดูแลข้าวส่วนนี้ ปีละ 900 ล้านบาท ยิ่งกว่านั้น การที่รัฐทำตัวเป็น “พ่อค้าข้าวขาใหญ่ที่สุดในประเทศ” เหมือนทำธุรกิจแข่งกับเอกชน โดยใช้เงินภาษีคนทั้งประเทศ แต่กำไรส่วนต่างกลับไปอยู่กับคนในรัฐบาลยุคนั้น จากการเช่าโกดังข้าว การเวียนเทียนขายข้าว การนำข้าวเพื่อนบ้านเข้ามาจำนำ และยังมี “สต๊อกลม” ที่ลือเลื่องอีก ถามว่ามันผิดกฎหมายหรือไม่ แถมซ้ำเติมคุณภาพข้าว ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดข้าวของต่างประเทศได้อีกด้วย ขอวอนว่าเลิกปกปิด ซุกพรม หรือนั่งทับขี้เลย เขารู้ทันกันหมดทั้งประเทศแล้ว

ถ้าจะบอกว่าเป็น “นโยบายสาธารณะ” แล้วบอกว่าความสุขของชาวนาเป็นกำไรของรัฐบาล ก็อยากจะถามว่าที่ชาวนาผูกคอตายจำนวนมาก เพราะไม่ได้รับเงินจากภาครัฐตามโครงการจำนำข้าว มันเป็นความสุขจริงหรือไม่ ความสุขของใคร ของผู้ที่ “ทำนาบนหลังคน” นั่งนับเงินบนศพชาวนา และคราบน้ำตาของพี่น้องเกษตรกรอย่างนั้นหรือ แต่ถ้ายังแถว่าดีจริง ก็อยากจะถามว่า แล้วที่เป็นคดีใน ป.ป.ช. และที่หนีคดีกันไปต่างประเทศ เพราะยอมจำนนด้วยหลักฐาน หรือไม่กล้าสู้ความจริงหรืออย่างไร จึงหนีกันไปแต่พี่น้อง ปล่อยคนเคยเป็นพวกพ้องก็ติดคุกกันเป็นสิบๆ ปี

คนเราเจ็บแล้วต้องจำ จึงอยากจะขอทบทวนความจำอีกครั้ง ว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ฯ เข้ามาก็ได้ใช้หนี้ใบประทวนทันที และบริหารจัดการภาระหนี้โครงการจำนำนี้ จนลดลงต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2558โดยเจียดเงินงบประมาณมาชำระหนี้ให้ ธ.ก.ส. รวม 449,669 ล้านบาท หนี้คงค้างตามโครงการฯ ปีการผลิต 2551/52-2556/57 (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2563) วงเงินรวม 231,308 ล้านบาท ซึ่งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน. ประมาณการว่ากว่าจะให้หนี้ได้ ก็ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี (2565-2574) หรือปีละ 23,000 ล้านบาท แทนที่จะเอามาแก้ปัญหาโควิดและเยียวยาประชาชน เงินหายจากกระเป๋าปีละสองหมื่นกว่าล้าน ทุกปีๆ จนเด็กประถมไปจบมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะหนี้ที่ใครก่อไว้

“การกู้เงินมาของรัฐบาลนายกฯประยุทธ์ รวมถึงประมาณต่างๆ นอกจากนำมาใช้หนี้โครงการรับจำนำข้าวแล้ว ยังมีการนำมาแก้ไขปัญหา และพัฒนาในหลายด้านของประเทศ รวมถึงนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทั้งด้านสาธารณสุข รักษาผู้ติดเชื้อ และเยียวยา บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี และทำประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนอย่างมาก ดังนั้นจึงขอให้พรรคเพื่อไทยพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน อย่าเอาแต่ตัวเอง เพราะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในรัฐบาลได้”

"อย่าเพียงแค่อภิปรายเพื่อหวังเอาใจนายใหญ่ทั้งสองอย่างนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรช่วยเอาข้อเท็จจริงมาพูดดีกว่า ถ้าไม่ผิดจริงศาลคงไม่พิพากษาให้อดีตรมต.ข้าราชการ และพ่อค้าที่ร่วมกันทุจริตติดคุกกันระนาวอย่างแน่นอน" นายเสกสกล กล่าว