posttoday

"จาตุรนต์"ซัดรัฐผูกขาดวัคซีนแค่2ยี่ห้อมาตลอดทำไทยได้ฉีดช้าและมีน้อย

28 เมษายน 2564

"จาตุรนต์"โต้ "อนุทิน" ชี้แจงปมวัคซีนไฟเซอร์ย้อนแย้งกับที่เคยพูดไว้ อัดที่ผ่านมาผูกขาดอยู่แค่ 2 ยี่ห้อทำให้ไทยได้ฉีดวัคซีนช้าและมีน้อย จี้เร่งหาวัคซีนให้มากขึ้น

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงกรณี รมว.สาธารณสุขและผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่ออกมาชี้แจงเรื่องวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) โดยมีเนื้อหาดังนี้

รมว.สาธารณสุขและผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้ออกมาชี้แจงเป็นการใหญ่เรื่องวัคซีน Pfizer โดยมีสาระสำคัญคือกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยปฏิเสธ Pfizer อย่างที่ปรากฎเป็นข่าว

ก่อนอื่นเลย ต้องบอกว่าที่รัฐมนตรีและ ผอ.สถาบันวัคซีนฯชี้แจงล่าสุดว่าไม่เคยปฏิเสธที่จะซื้อวัคซีนจาก Pfizer นั้นไม่จริงและย้อนแย้งกับที่ รมต.เคยพูดไว้อย่างขาวกับดำ

แต่ก็มีการยอมรับว่ามีตัวเลขจำนวน 13 ล้านโด๊สอยู่ในการเตรียมการหารือระหว่าง Pfizer กับกระทรวงสาธารณสุข

ความจริง Pfizer เป็นวัคซีนยี่ห้อหนึ่งในหลายยี่ห้อที่มีคนตั้งคำถามว่าเหตุใดกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่พยายามหาทางซื้อมาใช้ในประเทศไทย ทำไมจึงผูกขาดอยู่เพียงสองยี่ห้อคือ AstraZeneca กับ Sinovac คำชี้แจงก็ดูจะแตกต่างหลากหลาย แต่ที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆก็คือตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศร่ำรวยและเราไม่มีผู้ติดเชื้อมาก

ข้อเท็จจริงที่ Pfizer มาติดต่อขายวัคซีนให้ไทยจึงเป็นการยืนยันว่า ไม่ใช่ไม่มีใครสนใจจะขายวัคซีนให้รัฐบาลไทย และความจริงก็ไม่ใช่ยี่ห้อนี้ยี่ห้อเดียวที่มาติดต่อขายให้รัฐบาลไทย ถ้าติดตามการพูดคุยในเวทีต่างๆเช่นในคลับเฮาส์ที่บางครั้งรัฐมนตรีก็ร่วมคุยอยู่ด้วย รมว.สาธารณสุขเองก็ยอมรับว่ามีหลายบริษัทพยายามขายวัคซีนให้รัฐบาลไทยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น

เมื่อมีคนถามว่าทำไมประเทศไทยไม่ใช้ Pfizer และ Moderna (และยี่ห้ออื่นๆ) รัฐมนตรีก็ตอบไว้อย่างชัดเจนว่าบริษัทผู้ผลิตวัคซีนไม่ต้องการขายให้เอกชน เขาต้องการขายให้รัฐบาลโดยตรง ที่มีการเสนอให้องค์การเภสัชกรรมซื้อแล้วไปขายต่อให้เอกชน รัฐบาลก็ไม่มีนโยบาย เมื่อบริษัทผู้ผลิต(รวมทั้ง Pfizer และ Moderna) มาติดต่อขายวัคซีนให้รัฐบาล ก็บอกเขาไปว่ารัฐบาลมีเพียงพอแล้ว ให้ไปพยายามขายให้เอกชนหรือประชาชนเอาเอง (ข่าวสด 18 มี.ค.64)

ดังนั้นที่ว่าไม่เคยปฏิเสธ Pfizer จึงไม่จริง และเรื่องราคาวัคซีนที่มาเสนอขายหรือเงื่อนไขในการจ่ายเงินก็ไม่ใช่ประเด็น จะถูกหรือแพงอย่างไรก็ไม่ซื้อเพราะมีพอแล้ว

รมว.สาธารณสุขไม่มีนโยบายที่จะจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นใดนอกจาก 2 ยี่ห้อที่ตกลงไปแล้ว ยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอด

จะเห็นได้ว่าช่วงที่ตอบคำถามเรื่องมีวัคซีนพอหรือไม่ รมว.สาธารณสุขพูดถึงจำนวนวัคซีนที่จะฉีดให้ประชากรครึ่งหนึ่งโดยบอกว่าเพียงพอที่จะทำให้เกิดภูมิต้านทานหมู่แล้ว เอกชนจะไปให้ความร่วมมือก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไร คอยช่วยประชาสัมพันธ์ก็แล้วกัน

การผูกขาดวัคซีนอยู่เพียงสองยี่ห้อ ไม่คิดจะซื้อหายี่ห้ออื่นใด ด้วยคิดว่าที่เตรียมไว้เพียงพอแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนใช้ช้าและน้อย กลายเป็นความเสียหายใหญ่หลวงต่อสุขภาพชีวิตประชาชนและต่อเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในปัจจุบันนี้

ถึงวันนี้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องพบปะผู้คนอยู่เป็นประจำยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปซึ่งควรได้ฉีดวัคซีนก่อนกลุ่มอายุอื่นก็กลับยังไม่มีวัคซีนจะฉีด

ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นผลจากความผิดพลาดทางนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลโดยแท้

เข้าใจว่าที่ผ่านมาแม้แต่สถาบันวัคซีนฯก็ไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายผูกขาดวัคซีน

นายกฯ เพิ่งมาเปลี่ยนนโยบายเมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นๆ และปัญหาการแพร่ระบาดรอบที่สามหนักหน่วงขึ้น มีการตั้งคณะกรรมการที่ไม่มีรัฐมนตรีสาธารณสุขอยู่ด้วยเพื่อพิจารณาหาวัคซีนเพิ่มและร่วมมือกับภาคเอกชน

แต่เรื่องวัคซีนก็ยังไม่จบครับ

นายกฯประกาศว่าจะจัดหาวัคซีนเพิ่มให้ครบ 100 ล้านโด๊ส ครอบคลุมประชากร 50 ล้านคนหรือประมาณ 70% ของประชากรทั้งหมด

ดูจากตัวเลขก็สูงดี แต่ผมว่ายังมีปัญหา ยังไม่พอครับ

ล่าสุดเมื่อสองวันก่อน EU เพิ่งประกาศฟ้องร้อง AstraZeneca ที่ไม่ส่งวัคซีนให้ตามแผน เป็นคดีความกันอยู่ขนาดบริษัทแม่ยังเจอปัญหาส่งวัคซีนไม่ทัน แล้วกระทรวงสาธารณสุขกับสถาบันวัคซีนฯจะแน่ใจได้อย่างไรว่าบริษัทที่รับมาผลิตในไทยซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการผลิตวัคซีนนี้มาก่อนจะผลิตได้ราบรื่นตามแผนทุกประการถ้าหากมีปัญหาขึ้นมา ผลิตไม่ทันหรือมีผลข้างเคียงมาก จะทำอย่างไร

ทางที่ดีรัฐบาลจึงควรหาทางจัดหาวัคซีนให้มากขึ้นไปอีกเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้นและป้องกันความเสี่ยง ไม่ต้องกลัวว่าจะเหลือ เพราะวัคซีนยังเป็นที่ต้องการของประเทศต่างๆอีกมาก ถ้าเรามีวัคซีนเกินกว่าที่ต้องใช้ จะฉีดให้คนที่เข้ามาประเทศไทยหรือขายต่อให้ประเทศอื่นก็สามารถทำได้