posttoday

ศาลนัดพิพากษาคดี "วรเจตน์" ฝ่าฝืนประกาศคสช. 8 มิ.ย.นี้

26 เมษายน 2564

ศาลแขวงดุสิต นัดพิพากษาคดี "อ.วรเจตน์" ถูกฟ้อง ฝ่าฝืนประกาศ คสช.เรียกรายงานตัว 8 มิ.ย.นี้ ขณะที่ศาล รธน. ส่งคำวินิจฉัยชี้ประกาศ คสช. กำหนดโทษอาญาไม่มารายงานตัว ขัด รธน. หลังเจ้าตัวยื่นประเด็นใช้สู้คดี

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 64 ศาลนัดฟังคำสั่งกรณีส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คสช. ฉบับที่ 29/2557, 41/2557 (กำหนดโทษคนไม่มารายงานตัว) ที่ใช้บังคับนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

สืบเนื่องจาก พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลแขวง 3 (แขวงดุสิต) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นจำเลย คดีหมายเลขดำ อ.2074/2562 ในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 5/2557, 57/2557 (เรียกชื่อให้มารายงานตัว) และประกาศ คสช. ฉบับที่ 29/2557, 41/2557 (กำหนดโทษคนไม่มารายงานตัว) กรณีที่กล่าวหานายวรเจตน์ ไม่ไปรายงานตัวต่อ คสช. หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.57 ซึ่งคดีที่ฟ้องนี้เป็นการโอนคดีจากศาลทหาร โดยในการต่อสู้คดีจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแขวงดุสิต ส่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเกี่ยวกับประกาศดังกล่าวที่ใช้บังคับแก่คดีนี้ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

นายวรเจตน์ จำเลย โต้แย้งว่า ประกาศ คสช. ฉบับที่ 29/2557, 41/2557 เป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่ขัดต่อหลักนิติธรรม โดยประกาศฉบับที่ 29/2557 ประกาศใช้บังคับหลังจากที่มีคำสั่งฉบับที่ 5/2557 จึงเป็นกฎหมายที่กำหนดโทษทางอาญาบังคับใช้ย้อนหลังแก่จำเลย เป็นกฎหมายที่มุ่งหมายบังคับใช้แก่กรณีใดกรณีหนึ่ง หรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง ไม่ได้บัญญัติขึ้นเพื่อใช้บังคับเป็นการทั่วไป และประกาศ คสช. ทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่กำหนดโทษทางอาญาเกินสมควรแก่เหตุ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 26 นอกจากนี้ ประกาศฉบับที่ 29/2557 มีลักษณะเป็นการบังคับข่มขู่ ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 4 และ 27

อีกทั้งเมื่อ คสช. สิ้นอำนาจไปแล้ว วัตถุประสงค์ของคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวจึงสิ้นสุดลงไปด้วย เนื่องจากการลงโทษทางอาญานั้น วัตถุประสงค์ของการกำหนดโทษในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดจะต้องดำรงอยู่ในขณะที่มีการลงโทษ การดำรงอยู่ของประกาศ คสช. ทั้งสองฉบับ จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 29

โดยวันนี้ ศาลแขวงดุสิต ได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 30/2563 กรณีดังกล่าว ที่ได้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212

ขณะที่เนื้อหาคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญประเด็นดังกล่าวสรุปได้ว่า บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 279 บัญญัติรับรองสถานะของประกาศและคำสั่งของ คสช. ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ และกฎหมาย ประกาศ คสช. ทั้งสองฉบับจึงยังมีผลเป็นกฎหมายต่อไปแม้ คสช. จะสิ้นสภาพไปแล้ว

และรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ซึ่งรวมถึงประกาศ คสช. ทั้ง 2 ฉบับด้วย

โดยขณะที่ประกาศใช้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ เป็นช่วงที่ คสช. กระทำการยึดอำนาจปกครองแผ่นดินสำเร็จ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 มีความต้องการให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ไม่ก่อความวุ่นวายและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จึงจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนบางประการ

อย่างไรก็ดี เมื่อยามที่บ้านเมืองปกติสุข การใช้ชีวิตของปัจเจกบุคคลย่อมแตกต่างไปจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลไว้ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง โดยบุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายซึ่งใช้อยู่ในเวลานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ฯ ซึ่งเป็นหลักการสากล

อีกทั้งการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองคุ้มครองไว้ ต้องเป็นไปตามมาตรา 26 ต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรแก่กรณี เพื่อไม่ให้ตรากฎหมายขึ้นบังคับใช้แก่ประชาชนตามอำเภอใจ โดยประกาศ คสช. ทั้ง 2 ฉบับ เป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล การกำหนดโทษทางอาญาจึงต้องพิจารณาว่ามีความเหมาะสม เมื่อเทียบเคียงกับกรณีการนำตัวบุคคลที่ยังไม่ได้กระทำความผิด เพียงแต่มีเหตุอันควรสงสัย มีการกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 46 แทนการกำหนดโทษทางอาญา

นอกจากนี้เมื่อเทียบเคียงการไม่รายงานตัวฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. กับกรณีบุคคลขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามกฎหมายอื่น การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศ คสช. ยังไม่ใช่การกระทำอันมีผลร้ายแรงถึงขนาดต้องกำหนดโทษทางอาญา ให้จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อีกทั้งยังมีมาตรการทางกฎหมายอื่น ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 วรรคหนึ่ง ที่เป็นมาตรการลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงาน โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อันเป็นความผิดลหุโทษที่เหมาะสม จำเป็นและพอสมควรแก่กรณี

ดังนั้น ประกาศ คสช. ฉบับที่ 29/2557, 41/2557 ไม่มีความเหมาะสมกับลักษณะของการกระทำผิด ไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรแก่กรณี จำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และขัดต่อหลักนิติธรรม จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 26 นอกจากนี้การออกคำสั่งเรียกให้มารายงานตัวก่อน แล้วออกประกาศกำหนดโทษของการกระทำดังกล่าวในภายหลัง เป็นการกำหนดโทษทางอาญาให้มีผลย้อนหลัง ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 29 วรรคหนึ่ง เมื่อวินิจฉัยว่าประกาศ คสช. ทั้ง 2 ฉบับขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ประกาศทั้ง 2 ฉบับเป็นอันใช้บังคับไม่ได้

จึงวินิจฉัยว่า ประกาศ คสช. ฉบับที่ 29/2557, 41/2557 เฉพาะในส่วนโทษทางอาญา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และเฉพาะประกาศ คสช. ฉบับที่ 29/2557 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคหนึ่งด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลแขวงดุสิต อ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้คู่ความทราบแล้ว ศาลได้สอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายว่า ประสงค์จะแถลงข้อเท็จจริง หรือทำคำแถลงการณ์ใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่

คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่าไม่มีข้อเท็จจริงใดหรือคำแถลงใดที่จะแถลงต่อศาลเพิ่มเติม ศาลจึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.