posttoday

ผลโพลสะท้อนประชาชนเดือดร้อนถ้วนหน้า แต่อดกลั้นไม่ลงถนนประท้วง

28 มีนาคม 2564

ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจชี้ประชาชนเดือดร้อนหนัก แต่อดกลั้นไม่ลงถนนเพราะไม่อยากซ้ำเติมวิกฤตประเทศ ชี้ เจ้าสัวรวยแล้วรวยอีก ขณะที่คนจนจนแล้วจนลง

เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 64 นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “จัดอันดับ กระทรวง” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 3,010 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 22-27 มี.ค.64 สรุปผลได้ดังนี้

ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.7 ต้องการเห็น ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ รวดเร็วฉับไว ทำงานเห็นผลงานแก้ปัญหาของประชาชนได้เมื่อเกิดเหตุ ในขณะที่ร้อยละ 93.5 ต้องการให้ นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการ เปลี่ยนตัวหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ที่ไม่ตื่นตัวทำงานตอบโจทย์ตรงเป้าความต้องการของประชาชน

ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.6 ระบุ ตอนนี้ยืนยันได้ว่าประหยัดจนไม่รู้ประหยัดตรงไหนอีก แล้ว อดอยากไม่รู้ว่าจะอดอยากไปอีกนานแค่ไหน

นอกจากนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.9 ระบุ ทุกวันนี้ พบว่า เจ้าสัวรวยแล้วรวยอีก คนจนจนแล้วจนลง เพราะคนจนถูกปิดทางเลือกไม่มีโอกาสซื้อสินค้าราคาถูก ช่วงวิกฤตและคนกำลังตกงาน และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.3 ระบุ บรรดาเจ้าสัว ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ กำลังเอาเปรียบประชาชนช่วงวิกฤต ประชาชนจำทนต้องซื้อสินค้าราคาสูง เกินความสามารถจ่ายได้

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.5 อดทน อดกลั้นไม่ยอมพากันลงถนน เพราะกลัวซ้ำเติมวิกฤตของประเทศและความเดือดร้อนของผู้อื่น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.6 ระบุ วันนี้ ฉันเป็นทุกข์ ฉันกำลังเดือด ร้อน

ขณะที่ ผลการจัดอันดับกระทรวงตื่นตัว เป็นตัวช่วยดูแลประชาชนได้มากที่สุด ดังนี้

อันดับหนึ่ง หรือร้อยละ 45.4 ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข มีผลงานเด่น รวดเร็วฉับไวป้องกันและแก้ไขวิกฤตแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ดูแลรักษาประชาชนผู้ติดเชื้อ การได้วัคซีนมาฉีดให้ประชาชนฟรีครอบคลุมทั่วประเทศ

อันดับสอง หรือร้อยละ 21.7 ได้แก่ กระทรวงการคลัง บางส่วนราชการ เช่น ธนาคารกรุงไทย ช่วยเหลือ เยียวยา เอาใจใส่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย

อันดับสาม หรือร้อยละ 7.7 ได้แก่ กระทรวงกลาโหม ทหารช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย พิบัติต่าง ๆ รับ ซื้อสินค้าเกษตร จำหน่ายสินค้าราคาถูกใกล้ค่ายทหาร ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขเรื่องการกักกันตัวควบ คุมโรค โรงพยาบาลสนาม การจัดกำลังเข้าควบคุมพื้นที่แพร่ระบาดโควิดและช่วยเหลือประชาชน

อันดับสี่ หรือร้อยละ 7.4 ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมมือกับภาคเอกชนขายสินค้าราคาถูก

อันดับห้า หรือร้อยละ 6.2 ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยียวยากลุ่มเกษตรกรได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 การประกันราคาพืชผลทางการเกษตร

ในขณะที่ ร้อยละ 11.6 ระบุอื่น ๆ

ที่น่าเป็นห่วง คือ ผลการจัดอันดับ หน่วยงานรัฐ ต้นตอปัญหาซ้ำเติมวิกฤต ความเดือดร้อนทุกข์ของประชาชนเมื่อตอบได้หลายหน่วยงาน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.0 ระบุ ตำรวจท้องที่ ตำรวจอำเภอต่าง ๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปล่อยปละละเลย แหล่งมั่วสุมบ่อนพนันในชุมชน ต้นตอแพร่ระบาดโควิด) รองลงมา เป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นกัน คือ ร้อยละ 72.1 ระบุ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เกี่ยวข้องขบวนการขนแรงงานเถื่อน)

อันดับสามหรือร้อยละ 70.2 ระบุ ข้าราชการ กระทรวงแรงงาน (ปล่อยปละละเลยแรงงานเถื่อน กระจายในสถานประกอบการ) อันดับสี่หรือร้อยละ 69.8 ระบุ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง (ปัญหาดั้งเดิมอันยาวนาน เรื่องผลประโยชน์ พิธีการศุลกากร) และอันดับห้าหรือร้อยละ 68.4 ระบุ กระทรวงมหาดไทย (ปล่อยปละละเลย แรงงานเถื่อน แหล่งมั่วสุมบ่อนพนันในชุมชน และบทบาทช่วยเหลือดูแลปัญหาเดือดร้อน ปัญหาปากท้องของ ประชาชนไม่มีผลงานประจักษ์โดดเด่น)

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า จากผลโพลสะท้อนว่า ประชาชนต่างเดือดร้อนและได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยทั่วหน้า ผลการจัดอันดับกระทรวงและส่วนราชการต่าง ๆครั้งนี้ สะท้อนถึงความตื่นตัวของกระทรวงและส่วนราชการต่าง ๆ ในการตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชนช่วงการแพร่ระบาดของโรคที่ผ่านมา โดยเฉพาะ รัฐบาล ที่ต้องมีนโยบายเข้ม รอบคอบและชัดเจน รวดเร็วพอที่จะตอบสนอง ครอบคลุมในทุกมิติและกลุ่มเป้าหมาย จำเป็นต้องลงดาบข้าราชการเกียร์ว่างทุกระดับ โดยมีตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม มีข้อเสนอแนะ 3 ประการ

ประการแรก ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐในภาคส่วนราชการ ถือเป็นที่พึ่งยามทุกข์ยากของประชาชนช่วงวิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจ หากไม่ตอบโจทย์ประชาชนก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตัว หัวหน้าส่วนราชการทุกระดับ จึงจำเป็นต้องตื่นตัว ปรับเปลี่ยนและลงพื้นที่ตอบสนองแก้ไขภัยคุกคามชีวิตปกติสุขและสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้รวดเร็วฉับไว เพื่อจบปัญหาเดือดร้อนของประชาชนระดับพื้นที่ให้ได้ โดยต้องมีข้อมูลและจัดทีมบูรณาการ ลงแก้ปัญหา กระจายเข้าชุมชนต่างๆ ทำให้ประชาชนฟื้นตัว และพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว โดยเฉพาะภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และกลุ่มสตาร์ทอัพ (Start Up) โดยดึงสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้าร่วมอย่างเป็นระบบ

ประการที่สอง ภาคเอกชน บรรดาเจ้าสัว ผู้ประกอบการ นักธุรกิจนักลงทุนที่ถูกมองว่าเอาเปรียบประชาชนที่ผ่านมา ควรใช้โอกาสนี้ แสดงความจริงใจ รวมตัวกันจัดมหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ปลดทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน ยอมตัดเฉือนกำไรและถอยมาใส่ใจทำเพื่อประชาชนผู้มีรายได้น้อยและสังคมส่วนรวมให้มากขึ้น เพราะธุรกิจอยู่ได้ด้วยประชาชนผู้บริโภค เมื่อทุกคนเจอวิกฤตโควิด-19 จึงจำเป็นต้องขอให้บรรดาเจ้าสัว ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจต่างๆ เข้ามารองรับช่วยพยุงสังคมและประชาชนให้อยู่ได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก

ประการที่สาม ภาคประชาชน ที่ต้องไม่รอความช่วยเหลือเป็นลูกนก จึงเป็นความจำเป็นที่ภาคประชาชนต้องตื่นตัว เรียนรู้ ปรับเปลี่ยนตัวเอง ครอบครัว ชุมชนเพื่อความอยู่รอด ด้วยความรัก ความเข้าใจกันและพึ่งพากัน มุ่งร่วมกันการพาคนลงถนนที่ขัดกฎหมาย เพื่อความอยู่รอด ฟื้นตัวและเข้มแข็งไปด้วยกัน จำเป็นต้องรู้รักสามัคคี ช่วยเหลือกันและกัน หยุดต้นตอของการยุยง สร้างความแตกแยกของคนในชาติ การพาคนลงถนนที่ขัดกฎหมาย อันเป็นต้นตอความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย ที่ทำให้เกิดการสูญเสียและเสียหาย ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ จนโอกาสการฟื้นตัวของประเทศที่กำลังสั่งสมภาพบวก กลายเป็นวิกฤต เหยียบย่ำซ้ำเติมประชาชนที่ร่วมกัดฟันต่อสู้ฝ่าปัญหาต่างๆมาด้วยกัน