posttoday

โพลเผยชาวใต้ยังเชื่อมั่น "ประยุทธ์" เสนอ 3 ข้อให้รัฐเร่งดำเนินการ

01 กุมภาพันธ์ 2564

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนชาวใต้ พบยังเชื่อมั่น "พล.อ.ประยุทธ์" นำประเทศสู่การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จี้ปฏิรูประบบราชการ-ออกโครงการคนละครึ่ง เฟส 3

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.64 ศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมกราคม 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมปรับตัวลดลง โดยดัชนีที่ปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม และพฤศจิกายน 2563

โดยภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

โดยปัจจัยลบมาจากหลายปัจจัย สถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และคลื่นลมแรงในพื้นที่ 4 จังหวัด สงขลา ยะลา นราธิวาส และปัตตานี รวม 27 อำเภอ 145 ตำบล 769 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 37,317 ครัวเรือน ส่งผลให้สินค้าทางการเกษตรได้รับความเสียหาย

รวมถึงสถานการณ์ยางพารา ที่เกิดโรคระบาดใบร่วงในหลายจังหวัดภาคใต้ ทำให้ผลผลิตลดลง ซึ่งส่งผลต่อรายได้ลดลงตามไปด้วย อีกทั้งประเทศจีน มีแผนที่จะหยุดซื้อยางเข้าสต๊อกในช่วงเดือนมกราคม จนถึงวันตรุษจีน ทำให้ราคายางลดลง

ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิค-19 ระลอกใหม่ซึ่งส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่ในทางลบของประเทศ โดยการดำเนินธุรกิจหลายภาคส่วน ต้องชะลอหรือหยุดชะงักไป ทั้งภาคการผลิต การบริการ การค้าปลีก และการท่องเที่ยว รวมถึงหาบเร่ แผงลอย ล้วนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

“ประชาชนส่วนหนึ่งมองว่า มีแต่ข้าราชการและนักการเมืองเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะบุคคลเหล่านี้ยังได้รับเงินเดือน และได้ขึ้นเงินเดือนปกติ ซึ่งล้วนเป็นเงินจากภาษีของประชาชนแทบทั้งสิ้น โดยส่วนหนึ่งมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ต้นเหตุมาจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ”

สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิค-19 เกิดขึ้นเนื่องจากแรงงานต่างด้าวที่มีเชื้อโควิด-19 ได้ลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมายเพื่อเข้ามาทำงานที่ จ.สมุทรสาคร และได้นำเชื้อโควิด-19 แพร่กระจายไปในจังหวัดและภูมิภาคอื่นบ้างเล็กน้อย หากแต่ยังสามารถที่จะควบคุมได้

ประกอบกับได้มีการลักลอบเปิดบ่อนการพนันในจังหวัดระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด และอีกหลายจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งแพร่กระจายโควิด-19 ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย รวม 56 จังหวัด ทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก โดยมียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยมียอดผู้ป่วยสะสมมากกว่า 18,000 คน

ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นประชาชนมองว่า มาจากการทำงานที่ปล่อยปละละเลยของภาครัฐ และระบบราชการแบบดั้งเดิมที่หากินกับส่วย และผลประโยชน์จากธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ประชาชนต้องมารับเคราะห์ในสิ่งที่ภาครัฐเป็นผู้ก่อขึ้นแทบทั้งสิ้น

โดยส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่า พลเอกประยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศโดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะระบบราชการ แต่ผ่านมา 7 ปี ได้ปฏิรูปอะไรบ้าง

ทั้งนี้ ประชาชนส่วนหนึ่งกล่าวว่าขอให้เวลาที่เหลือ คงยังไม่สายเกินไป หาก พลเอกประยุทธ์ จะปฏิรูปการเมืองไทย และระบบราชการไทย ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และกำหนดบทลงโทษข้าราชการที่กระทำผิด โดยต้องไล่ออก และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ย้าย และค่อยกลับมาใหม่เมื่อเรื่องเงียบ

“ประชาชนภาคใต้ส่วนหนึ่ง มองว่าโดยส่วนตัวแล้ว พลเอกประยุทธ์ เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ รักชาติ และมีความตั้งใจที่ดีในการเข้ามาช่วยขับเคลื่อนประเทศให้หลุดพ้นจากพวกนักการเมืองโกงชาติ และทำให้ประชาชนมีความสุข”

และส่วนหนึ่งเชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ มีบารมีเพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนประเทศไปในทิศทางที่ดีได้ หากกล้าตัดสินใจเด็ดขาด โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของพวกพ้อง

จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้

1. ภาครัฐควรเข้มงวดในการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีพื้นที่ติดกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มีสถานการณ์โควิค-19 ถึงขั้นวิกฤตต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ส่งผลให้แรงงานไทย ที่ทำงานอยู่ในมาเลเซีย ส่วนใหญ่ต้องตกงาน ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ จนต้องหาวิธีหลบหนีข้ามพรมแดนเข้ามายังประเทศไทย

2. เสนอว่า ภาครัฐควรมีโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่รากหญ้าได้จำนวนมาก โดยมองว่า การใช้เงินภาษีของประชาชน หรือเงินกู้จากต่างประเทศกับโครงการคนละครึ่ง ทำให้ประโยชน์ตกถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง

แต่หากนำเงินไปดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านหน่วยงานภาครัฐ ผลประโยชน์อาจจะไม่ตกถึงประชาชน แต่จะไปตกอยู่กับกลุ่มพวกพ้อง และกลุ่มผลประโยชน์ของนักการเมือง และข้าราชการเท่านั้น

3. จากปัญหาโครงการช่วยเหลือของภาครัฐที่ไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน และที่เป็นชาวบ้านที่มีสมาร์ทโฟนก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง ทำให้เสียโอกาสในการได้รับสิทธิ์ต่าง ๆ

ทั้งนี้ นักวิชาการส่วนหนึ่ง ได้เสนอว่า ภาครัฐควรนำบัตรประชาชน ซึ่งเป็นบัตรสมาร์ทการ์ด และสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย มีคุณสมบัติเทียบเท่าบัตรเครดิต และบัตรเดบิตของธนาคาร

จึงเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ควรพัฒนาบัตรประชาชนที่เป็นบัตรสมาร์ทการ์ด ให้สามารถใช้เป็นบัตรในการรับสิทธิ์ต่าง ๆ ของภาครัฐได้ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนละครึ่ง บัตรเราเที่ยวด้วยกัน บัตรเราชนะ ใบขับขี่ และบัตรอีวอลเล็ต เป็นต้น

และสำหรับผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 34.70 และ 32.80 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 39.70 และ 33.50 ตามลำดับ

ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 36.80 , 34.60 และ 32.10 ตามลำดับ

และปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่ มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 28.50 รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง และการเมือง คิดเป็นร้อยละ 25.60 และ 12.80 ตามลำดับ

ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพ รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง ตามลำดับ.