posttoday

"บิ๊กตู่"เผยศบค.ผ่อนปรนหลายมาตรการหวังให้ประชาชนใช้ชีวิตได้ปกติ

29 มกราคม 2564

นายกฯเตือนอย่าฝ่าฝืนศบค.ผ่อนคลายโควิดลั่น สมุทรสาคร-จังหวัดเชื่อมต่อ –กทม. ยังต้องคุมเข้ม ชี้แก้ปัญหาโควิด-19 ย้ำฉีดวัคซีนโดสแรกยังไทม์ไลน์เดิม 14 ก.พ.64

เมื่อวันที่ 29 ม.ค.64 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ว่า จากการประชุมติดตาม ศบค.ในวันนี้ ทุกคนทราบดีสถานการณ์การแพร่ระบาดในระลอกใหม่นี้เป็นที่วิตกกังวลของประชาชน รัฐบาล และทุกภาคส่วน ทำให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจอีกมากมาย ทั้งนี้เราจำเป็นต้องมีการปรับมาตรการอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการสกัดกั้น ควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดต่างๆ รวมไปถึงการรักษา การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่อยู่ในเกณฑ์ที่เราสามารถรับได้และควบคุมได้ในปัจจุบัน แม้ว่าสถานการณ์ประจำวันจะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อมาก สาเหตุเนื่องจากเรามีการตรวจเชื้อเชิงรุกกว้างมากขึ้น และนำคนเหล่านั้นเข้าสู่การควบคุม การรักษา ป้องกันการแพร่ระบาด โดยวันนี้ได้มีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดวันต่อวัน และมาตรการต่างๆนี้จะออกมาเป็นเดือนต่อเดือน หรือเร็วกว่านั้นหากมาตรการที่ออกมาไม่ได้รับการตอบสนองจากทุกภาคส่วนในการนำไปสู่การปฏิบัติ ในส่วนการเข้มงวดกวดขันการกระทำความผิดจากการลักลอบเล่นการพนันบ่อนต่างๆ ตรงนี้ได้มีการติดตามจับกุมดำเนินคดี มีผลมากขึ้น ทั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนด้วยกันในฐานะที่ต้องทำงานร่วมกันทั้งหมด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องของวัคซีนได้มีการพูดคุยกันถึงการจัดหาวัคซีน และยังยืนยันจำนวนวัคซีนที่ได้สั่งจองไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญเราต้องดูเรื่องประเทศต้นทางเขาด้วยที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ต่างๆ ซึ่งได้มีการเจรจากันอย่างต่อเนื่อง คาดว่าน่าจะได้รับตามกำหนดเวลา เมื่อได้รับตามกำหนดเวลามาแล้วเราก็จะกำหนดว่าจะฉีดกันอย่างไร จะฉีดใคร แต่ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงวัคซีน ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่จะทยอยเข้ามาตามลำดับ เพราะไม่ใช่เราคนเดียว ต้นทางมาจากนอกประเทศ และมาถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตในประเทศไทย ซึ่งเราทราบดีอยู่แล้ว และวันหน้าอาจจะมีการเพิ่มการผลิต ถ้ามีวัคซีนตัวอื่นเพิ่มมาอีกเราก็จะมีการเจรจาทุกประเทศ สิ่งสำคัญเราต้องปฏิบัติตัวตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ตั้งการ์ดไว้ให้สูง แม้จะมีการฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ก็ต้องระมัดระวังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าต้องการจะเพิ่มภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นมาให้ได้ตามจำนวนที่เป็นมาตรฐานของสาธารณสุข

นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการพัฒนาวัคซีนในประเทศตนได้สนับสนุนให้สถาบันการแพทย์หลายแห่งในขณะนี้มีงบวิจัยและพัฒนา และอยู่ในขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เตรียมสนับสนุนบริษัทอื่นๆในการผลิตวัคซีนและคงไม่ใช่เฉพาะวัคซีนโควิด-19 แต่เพื่อประโยชน์วัคซีนอื่นๆในอนาคตด้วย โดยจะมีโรงงานผลิตเอง เพราะวันนี้ยังเข้ามาตรฐานเพียงไม่กี่แห่ง ทุกคนทราบดีอยู่แล้วตนคงไม่ไปพูดถึงตรงนี้ ส่วนเรื่องการบูรณาการทางการแพทย์เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ทำงานในขณะนี้ ทั้งฝ่ายความมั่นคง สาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน ได้นำทุกอย่างมาบูรณาการร่วมกัน ทั้งการป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะในโรงงานหรือในพื้นที่ต่างๆที่มีการแพร่ระบาด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ได้มีการผ่อนคลายมาตรการหลายอย่าง การเปิดสถานที่ทำการ การเปิดโรงเรียน ซึ่งต้องมีมาตรการเฉพาะออกมา ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ปฏิบัติตามอาจจะต้องปิดเฉพาะรายเฉพาะแห่งไป จึงต้องขอความร่วมมือด้วย ซึ่งตนได้เน้นย้ำทุกส่วนงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบสถานที่ต่างๆที่ได้มีการผ่อนคลายไปแล้ว โดยจะมีสายตรวจต่างๆทั้งตำรวจ ทหาร มากขึ้นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ถ้าสถานที่ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการจะต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องการเรียนการสอนวันนี้มีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตรงนี้ให้กระทรวงศึกษาพิจารณาแก้ปัญหา ต้องขอความร่วมมือ ซึ่งพยายามจะทำให้ทั่วถึงมากที่สุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับโรงเรียนและจังหวัดด้วย หากพื้นที่ไหนมีการแพร่ระบาดมากอาจจะมีการเรียนวันเว้นวันหรือวันเว้นสองวัน โดยใช้เรียนออนไลน์เสริมเข้าไป แต่เราต้องแก้ปัญหาการเข้าถึงให้ได้ ผู้ปกครองอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือระหว่างกัน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ที่จังหวัดสมุทรสาคร ได้มีการปรับระดับต่างๆเป็น 4 ระดับ โดยจังหวัดที่มีความเสี่ยงในการเข้มงวดการดูแลยังคงเป็นจังหวัดสมุทรสาคร พื้นที่ติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร และกรุงเทพฯต้องคอนโทลพื้นที่ให้ได้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ต้องระมัดระวัง สกัดกั้นแก้ปัญหา หากทุกคนเคารพมาตรการเชื่อว่าจะคลี่คลายได้โดยเร็วเหมือนครั้งแรกที่ผ่านมา การประชุม ศบค.หลักๆวันนี้เป็นเรื่องของการผ่อนคลายในบรรดาสถานประกอบการธุรกิจต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นปกติของประชาชนโดยรวม แต่ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเองให้มากที่สุด อย่าปกปิด และเฝ้าระวัง สถานที่ต่างๆที่ผ่อนคลายไปแล้วต้องระวังให้มากที่สุด การดื่มสุราก็ต้องระวังตัวเอง ต้องนึกถึงคนอื่นบ้าง เหมือนกับการระมัดระวังเรื่องการจราจร ต้องรักตัวเอง รักครอบครัว และรักคนอื่นด้วย ไม่ใช่ไปรับเชื้อมาแล้วแพร่คนอื่น มันเป็นความรับผิดชอบของทุกคน เราทำงานด้วยมาตรการต่างๆ ด้วยเจ้าหน้าที่ทีมีจำนวนจำกัด ฉะนั้นประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ทำได้ดีที่สุด ต้องขอขอบคุณทุกคนในช่วงที่ผ่านมาและที่จะร่วมมือกันต่อไป

จากนั้น นายกฯตอบคำถามกรณีจ.ชลุบรี ออกประกาศปิดกิจการโรงแรม-สถานที่ท่องเที่ยว เพื่อช่วยพนักงานได้รับเงินเยียวยาประกันสังคม มาตรา 33 ว่า การปิดมี 2 อย่าง คือ ในส่วนของการสั่งปิดและปิดเองก็ให้ไปดำเนินการตรงนี้แล้ว เพื่อที่จะเข้ากติกา การใช้กองทุนประกันสังคม ส่วนที่เหลือถ้าจำเป็นกระทรวงการคลังก็จะเตรียมงบประมาณตรงนี้ให้ ซึ่งวันนี้กระทรวงแรงงานได้แก้ปัญหาระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 33 หรือมาตรการอื่นๆ ก็มีประชาชน 9 ล้านคนเศษ เท่าที่ทราบจากยอดปัจจุบัน ส่วนที่ถามว่าจะใช้เงินจากส่วนไหน ก็ต้องใช้เงินงบประมาณจากระทรวงการคลัง จะไปหาจากที่ไหน

เมื่อถามว่า จากที่กำหนดวันที่ 14 ก.พ.จะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดสแรกให้คนไทย ยังสามารถทำได้หรือไม่ นายกฯตอบว่า การฉีดวัคซีนโดสแรกหากมาก็ฉีดได้ตามกำหนด ถ้าเขาส่งมาตามที่ได้เจรจากันไว้แล้วเดิม เราก็พร้อมฉีดกันอยู่ตลอด ซึ่งวันนี้ก็ได้ทำแผนในเรื่องของการแจกจ่ายเตรียมแผนการฉีดวัคซีนตามที่เราได้สร้างการรับรู้และเจรจาไว้ ถ้าได้เข้ามาก็ตามนั้น หรืออาจจะมีการปรับแผนบ้างอะไรบ้าง ก็จะมีรายละเอียดอีกครั้ง ตามสถานการณ์ เมื่อถามว่า มีข่าวว่า สหภาพยุโรป(อียู) มีการเตือนการจำกัดการส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกนอกพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ฟังไว้ เป็นเรื่องของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เราต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะเราก็ทำเต็มที่แล้วในเรื่องของการเจรจา การตกลง ครบถ้วนหมดแล้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับประเทศต้นทาง ตนก็หวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการเปิดไทม์ไลน์ของกลุ่มคนที่จัดปาร์ตี้ จนเป็นเหตุให้มีการแพร่ระบาด จะมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างไร นายกฯกล่าวว่า เป็นไปตามกฎหมาย กฎหมายว่าอย่างไร ก็ว่าไปตามนั้น อย่างน้อยสังคมและเพื่อนฝูงก็ต้องเตือน และบอกเขาว่าไม่ถูกต้อง ทำให้คนอื่นเดือดร้อน มันก็มีหลายภาคส่วน ไม่ใช่แค่รายนี้แค่รายเดียว อาจจะมีรายอื่นๆอีกที่ยังไม่พบ ก็บอกกันไปแล้วไม่ควรไปพื้นที่เสี่ยง ไม่ควรทำอะไรให้เกิดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด ทุกคนรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ทุกคนรู้ว่าทุกวันทำอะไร ไปไหนมาไหนบ้าง ไปพบปะใครบ้าง ไปทำอะไรที่ทำให้เกิดการแพร่รบาดหรือเปล่า เขาก็บอกมาตรการหมดอยู่แล้ว แต่ก็ยังฝ่าฝืน ก็ไปว่ากันมาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งอันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ชี้แจงไปหมดแล้ว

"ผมไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง งานนี้ไม่มีพระเอก เพราะถ้ามีพระเอกเมื่อไหร่ก็มีผู้ร้ายเมื่อนั้น ซึ่งพระเอกก็คือคนไทยทั้งประเทศที่แก้ปัญหาโควิด-19 ไปด้วยกัน รวมทั้งสื่อมวลชนต้องช่วยกันพูดในส่ิงที่สร้างสรรค์มากกว่าความขัดแย้ง ถ้าเราเปิดเรื่องความขัดแย้งไปเรื่อยๆก็ไม่จบ ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง แน่นอนมันไม่มีทางทำให้คนเห็นชอบไปด้วยกันทุกคนอยู่แล้ว แต่ต้องเอาส่ิงที่ไม่เข้าใจมาอธิบายว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือส่ิงที่ต้องร่วมมือและช่วยกัน รัฐบาลจำเป็นต้องฟังทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายเห็นด้วยและเห็นต่าง ผมไม่ใช่ศัตรูของใคร ผมไม่ได้ต้องการแบ่งแยกคนไทยเป็น 2 ฝ่าย ฉะนั้น ใครที่ทำเรื่องนี้ขอให้เลิกซะ ขอเตือนเอาไว้แค่นั้นเอง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้น นายกฯได้เดินออกจากโพเดียมแล้วเดินไปพูดคุยกับนายอนุทิน แล้วหันมากล่าวกับสื่อมวลชนระหว่างเดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าว่า เรื่องสาธารณสุข เรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง พันกันไปหมด รัฐบาล และนายกฯ บริหารจัดการได้