posttoday

"จตุพร"ซัดเพื่อไทยสองมาตรฐานป้ายสี "บุญเลิศ" อยู่ฝ่ายเผด็จการ

06 ธันวาคม 2563

“จตุพร” อัดเพื่อไทยตราหน้า "บุญเลิศ บูรณุปกรณ์" อยู่ฝ่ายเผด็จการ ชี้ทำลายคนซื่อสัตย์ต่อพรรคมากว่า 20 ปี วอนคนเชียงใหม่ช่วยคืนยุติธรรมด้วย

เมื่อ 6 ธ.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ระหว่างรณรงค์ขอคืนความยุติธรรมให้กับนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) กลุ่มเชียงใหม่คุณธรรมที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าทรยศต่อพรรคเพื่อไทยไปอยู่กับเผด็จการในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ

"การเมืองในเชียงใหม่ได้สะท้อนถึงความอยุติธรรม ถ้าผมอยู่เฉยๆ ทนต่อความอยุติธรรมนี้ ผมจะไม่ถูกข้อกล่าวหาไปอยู่กับพลังประชารัฐด้วย ทั้งที่พวกผมไล่ คสช.ทุกวัน และยังไล่ถึงปัจจุบันนี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ออกไปให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี"

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่เอานายบุญเลิศ ตนตัดสินใจยืนข้างนายบุญเลิศ เพราะนายบุญเลิศ เป็นนายก อบจ.คนเดียวของประเทศไทยที่ติดคุกเพราะไม่รับร่าง รธน.2560 แต่พรรคเพื่อไทย กลับอ้างรูปถ่ายใบเดียวมาตัดสินย้อนหลังเพียงหาเหตุไม่เอานายบุญเลิศเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วถ้าคนจะทรยศกันต้องรอถึง 2 ปีด้วยหรือ?

อีกทั้ง ย้อนถึงเหตุการณ์รูปภาพที่ถูกนำมาอ้างว่า ในช่วงนายบุญเลิศ เป็นนายก อบจ. เชียงใหม่สังกัดพรรคเพื่อไทยนั้น รองนายก อบจ. ยังสังกัดพรรคอนาคตใหม่ และลูกชายก็ไปอยู่อนาคตใหม่ เมื่ออนาคตใหม่มาเปิดที่ทำการพรรค นายบุญเลิศก็ไปแสดงความยินดี ส่วนกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มาเปิดสาขาพรรคพลังประชารัฐ มาเชิญก็ไปร่วมด้วยเหมือนไปอนาคตใหม่ แต่ถ้ารูปถ่ายตัดสินการทรยศกับพรรคแล้ว สส.เพื่อไทยถ่ายรูปกับฝ่ายรัฐบาลและเผด็จการทั้งนั้น คงอยู่พรรคเพื่อไทยไม่ได้

“คนเราซื่อสัตย์มากว่า 20 ปีจะมาตัดสินเขาแค่รูปถ่ายใบเดียวหรือ ถ้าบอกเขาดีๆ บอกนายบุญเลิศ ไม่ต้องลงสมัคร เขาก็พร้อมจะสละให้ แต่นี่ไม่ใด้บอกอะไร ผลักใสเขาแล้วยัดข้อหาว่าเขาเป็นพลังประชารัฐ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็น ผมจึงต้องมาบอกว่า เขาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ และถูกใส่ร้าย"

นายจตุพร กล่าวว่า ตนต่อสู้มาตลอด 10 ปี เข้าออกคุกมา 4 ครั้งมีโทษสูงสุดประหารชีวิต เป็นการต่อสู้กับสองมาตรฐาน หรือเรื่องความอยุติธรรมทั้งปวง พร้อมทั้งถามถึงพรรคเพื่อไทยในการพิจารณาผู้ลงสมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่นั้น ถ้ามีความรอบคอบแล้ว คงจดจำเหตุการณ์ปี 2555 กรณี บอส ทายาทเศรษฐีขับรถชนตำรวจทองหล่อเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นคดีสะเทือนใจประชาชน

อีกอย่าง กรณีบอส มาเกี่ยวข้องกับคนในเชียงใหม่ 2 คน คือ มีพยานปากสำคัญให้การกับตำรวจตามสำนวนการสอบสวนของนายวิชา มหาคุณ ที่เขียนตัวย่อว่า จ. แปลความว่า นายจารุชาติ มาดทอง ให้การว่า รถของบอส ขับด้วยความเร็วแค่ 50-60 กม.ต่อชั่วโมง รวมทั้งในสำนวนสอบสวนของนายวิชา ยังระบุชื่อตัวย่อว่า ช. ซึ่งเป็นชื่อเดิม มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถที่ขับชนตำรวจด้วย ที่ตนนำเรื่องนี้มาบอกเพราะในสำนวนนายวิชา มีการเปิดเผยถึงขบวนการทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างมากที่สุด

นอกจากนี้ ตนพูดเรื่องนี้ เพื่อต้องการชวนพรรคเพื่อไทยที่ตนยังรักอยู่ว่า นายกบุญเลิศถูกใส่ร้ายว่าเป็นพลังประชารัฐ ทั้งที่ไม่ได้เป็น และตนมาช่วยนายบุญเลิศยังถูกกล่าวหาว่าเป็นพลังประชารัฐทั้งที่ไม่ได้เป็นอีกเช่นกัน แต่พรรคเพื่อไทยที่อ้างว่า ตั้งคณะกรรมการสรรหา ถามว่าได้ตรวจสอบบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับรถชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ซึ่งเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างย่อยยับ และดึงคดีจนบางคดีขาดอายุความ

"ผมจึงชวนพรรคเพื่อไทยว่า คุณกับผมไปพบนายวิชา มหาคุณ ไปขอดูหลักฐานทั้งหมดเพื่อทำความจริงให้ปรากฎ เพราะเรื่องนี้เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมือง และคนมีสิทธิเลือกตั้งต้องรับรู้ว่า ถ้าเขาตัดสินใจเลือกคนทำความผิดไปจะสร้างผลเสียในอนาคต”

อีกอย่าง ตนขอตั้งคำถามถึงคณะกรรมการสรรหาของพรรคเพิ่อไทยว่า ถ้าผลการสอบสวนเป็นไปตามอักษรย่อที่ปรากฎ ว่าตรวจสอบแล้วได้คนที่ละเมิดทำลายกระบวนการยุติธรรมจากกรณีลูกกระทิงแดงนั้น จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร

“เมื่อประชาชนต่างรักความยุติธรรม และนายบุญเลิศถูกกล่าวหาอย่างอยุติธรรม และมีกรณีบอส เข้ากับคำว่าสองมาตรฐานอย่างชัดเจน ถ้าเขามีมลทินมัวหมองนั้น คนเชียงใหม่ต้องรับรู้ และพรรคการเมืองที่สังกัดต้องแสดงความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราต้องการสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน นายบุญเลิศติดคุกเพราะต้องการประชาธิปไตย ซึ่งไม่รับร่าง รธน. 2560 ที่เป็น รธน.ที่เลวที่สุดของประเทศไทย ตนจึงต้องมาขอความเป็นธรรมให้นายบุญเลิศ

"ผมต้องการจะบอกว่า สิ่งที่เหนือกว่าพรรคคือความถูกต้อง การตัดสินใจผลักนายกบุญเลิศออกไปแล้วตราหน้าเขาว่า เป็นพวกพลังประชารัฐ ผมยอมรับไม่ได้ แล้วไปเอาคนที่มีข้อกล่าวหาเกี่ยวข้องกับกรณีบอส กระทิงแดง ที่เขาต้องพิสูจน์ตัวกับนายวิชา มหาคุณ ดังนั้นสิ่งนี้สะท้อนถึงความยุติธรรม โดยพรรคการเมืองต้องรักษาความยุติธรรม

นายจตุพร กล่าวว่า ตนมาขอความยุติธรรม แต่ถ้าความยุติธรรมเป็นเพียงแค่ยัดเยียดคนหนึ่ง เพื่อจะเอาอีกคนหนึ่งที่เป็นคนมีประวัติน่าสงสัย ตนจึงกล้าที่จะยืนกับนายบุญเลิศ พร้อมประกาศท้าทายอย่างชัดเจนว่า ตนไม่เอาเผด็จการ นายบุญเลิสก็ไม่เอาเผด็จการ และไม่มีวันไปร่วมกับพลังประชารัฐทั้งชาตินี้หรือชาติหน้า

“แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำกับนายบุญเลิศ ผมไม่เห็นด้วย เมื่อตระกูลนี้ซื่อสัตย์ต่อพรรคมากว่า 20 ปี เพียงแค่ภาพเดียวตัดสินเขาเลยหรือ แล้วเอาอีกคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ มีแต่ความน่าสงสัย”

นายจตุพร ย้ำว่า ความยุติธรรมอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง เพราะไม่มีพรรค ไม่มีพวก มีแต่ความเสมอหน้า ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ไม่ใช่มีคนมาชี้ว่านี้ถูกหรือผิด แต่ความจริงต่างหากที่เป็นเรื่องถูก-ผิด ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ขอประชาชนช่วยรักษาความยุติธรรมไว้ แม้จะแพ้หรือชนะก็ตาม ถ้าเลือกแค่คิดอะไรก็ได้แล้ว ตนว่า ประเทศนี้เราจะหาธรรมไม่ได้เลย