posttoday

จุตพรซัดเผด็จการเศรษฐกิจคุมการเมืองเบ็ดเสร็จเป็นภัยคุกคามแท้จริงประเทศ

29 ตุลาคม 2563

จุตพรซัดเผด็จการเศรษฐกิจกลุ่มทุนคุมการเมืองเบ็ดเสร็จถือเป็นภัยคุมคามแท้จริงของประเทศ รัฐบาลมีหน้าที่ถอดสลักลดความเหลื่อมล้ำ ขวางนายทุนกินรวบบ้านเมือง

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk วานนี้ (28ตต.ค.63) ว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เสียงกดดันให้เปลี่ยนรัฐบาลและเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แต่ในอนาคตบ้านเมืองต้องเผชิญเผด็จการทางเศรษฐกิจที่จ้องกินรวบประเทศไทยทุกช่วงยามจะมีการปกครองแบบเผด็จการหรือประชาธิปไตยก็ตาม เพราะกลุ่มทุนพวกนี้เข้าถึงตีสนิทกลุ่มการเมืองทุกฝ่ายได้เสมอ

นายจตุพร กล่าวถึงการรับผิดชอบทางการเมืองของรัฐบาลว่า ต้องเน้นต่อความรับผิดชอบในสถานการณ์ปัจจุบัน จะนำเรื่องอดีตมาปัดความรับผิดชอบไม่ได้ อีกอย่างควรคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ สร้างความเสียหายอะไรบ้าง จึงปล่อยให้สถานการณ์เลยเถิด ไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไร

ดังนั้น การมีความรับผิดชอบต่างหากที่จะแก้ไขปัญหาได้ อีกอย่าง เมื่อนายกรัฐมนตรี ถอยหลังไปพูดถึงเหตุการณ์ไปปี 2557 ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะสถานการณ์ในช่วงนั้น ล้วนรู้กันดีว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิดให้เกิดวุ่นวายเพื่อยึดอำนาจ ซึ่งได้ผ่านไปแล้ว

“สถานการณ์ขณะนี้ เราต้องคิดถึงปัจจุบัน และวันนี้ไม่ว่า ที่ผ่านมาจะมีเชื่อทางการเมืองแตกต่างกันอย่างไร ต่างต้องคิดว่า ภายใต้รัฐบาลนี้ทำให้ประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร หมายความว่า เวลาที่ผ่านมา ได้ปล่อยปละละเลย หรือรู้ไม่เท่าทัน หรือโง่ จนทำให้เกิดผลลัพธ์เกิดขึ้นมาในปัจจุบัน ท่านไม่รู้สึกรู้สาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่รัฐบาลอื่นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน วิธีการแก้ปัญหานั้น ผมยืนยันว่า รัฐบาลต้องแยกตัวออกจากสถาบัน การปกป้องตัวเองของรัฐบาลไม่ใช่เป็นการปกป้องสถาบัน การปกป้องสถาบันเป็นเรื่องพสกนิกรคนไทย ซึ่งเขาทำหน้าที่อยู่แล้ว แต่อย่านำสองส่วนไปผูกมัดกัน คนที่จงรักภักดีไม่เอารัฐบาลก็มีเป็นจำนวนมาก ต้องยอมรับความจริง และคนการเมืองทั้งหลายต้องพยายามหลีกเลี่ยงใช้เสื้อเหลืองมาเป็นผลประโยชน์ทางการเมือง” ปธ.นปช. กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าสถานการณ์เดินไปถึงจุดที่ใครไม่ฟังใครกันแล้ว เป็นสิ่งที่เปราะบางมาก ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ อะไรที่ช่วยถอดสลักการเมือง โดยไม่ให้ลงท้ายด้วยเกิดความสูญเสียเลือดเนื้ออีก ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี คือลดความเหลื่อมล้ำของคนไทย โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากเผด็จการทางเศรษฐกิจ ซึ่งเลวร้ายมากกว่าเผด็จการทางการเมือง และเป็นภัยคุกคามแท้จริงของประเทศไทย

อีกทั้ง เผด็จการทางเศรษฐกิจนั้น ไม่ว่า การเมืองเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย กลุ่มคนพวกนี้ได้ประโยชน์กินรวบหมด เงินจะไหลไปกระจุกกับคนไม่กี่ราย ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขเผด็จการทางเศรษฐกิจได้ หรือแม้แก้ รธน. แต่เผด็จการทางเศรษฐกิจก็ยังอยู่ โดยคนเหล่านี้ ไม่รู้สึกรู้สาต่อบ้านเมือง ไม่รู้ถึงสำนึกทางการเมือง คนพวกนี้เป็นพวกไม่รู้จักพอ ฉะนั้นเงินจึงไหลเข้าไปให้คนพวกนี้ และยังไม่มีจิตใจคืนกลับสังคม

ดังนั้น ใครมาเป็นรัฐบาล คนพวกนี้ก็เข้ามาใกล้ชิดติดตัวกันทุกยุคสมัย สิ่งนี้จึงเป็นภัยคุกคามแท้จริงของประเทศไทย

“ไม่ว่าทุนน้ำเมา ทุนพลังงาน ทุนเครื่องอุปโภคบริโภค ครอบครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ เอารัดเอาเปรียบทุกทิศทาง ไร้การตรวจสอบ กินรวบเงินล้นก็ไปซื้อที่ดินมโหฬาร บ้านเมืองถ้าปล่อยให้อยู่กับคนพวกนี้แล้ว ประเทศก็มีแต่พัง และวันนี้ธนาคารกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งหรือเกือบทั้งหมดตกอยู่ในมือต่างชาติไปแล้ว” นายจตุพร กล่าว

ถ้าเราจะแก้ปัญหาชาติแล้ว คงต้องล้างแผ่นดินกันอีกสักที ตนเชื่อว่า รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม ย่อมไม่มีวันจัดการกับเผด็จการทางเศรษฐกิจได้เลย ดังนั้น สังคมต้องคิดอ่านกันจะยอมให้คนเหล่านี้อยู่ในบ้านเมือง เอารัดเอาเปรียบกันอีกหรือไม่ ถ้าประเทศไทย คิดจะเปลี่ยนกันแล้ว ต้องจัดการเผด็จการทางเศรษฐกิจ เพราะคุมทุกสิ่งทุกอย่างทั้งกฎหมาย แม้การแก้ปัญหาสังคม แต่เงินล้วนหมุนไปอยู่กับคนพวกนี้ทั้งสิ้น แล้วยังคุมการเมืองได้เบ็ดเสร็จ วันนี้เกิดความเหลื่อมล้ำ จึงทำให้ทุกเรื่องต่างเป็นปัญหาอุปสรรคทั้งสิ้น เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ยิ่งมากขึ้น ตนจึงเห็นว่า คนไทยต้องตระหนัก เพราะถ้าไม่คิดอ่านกันแล้ว คนรุ่นต่อไปไม่รู้จะเหลืออะไร ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วเผด็จการเศรษฐกิจคุมประเทศไว้ทั้งหมด

“สิ่งสำคัญที่สุด ถ้าทุนไม่เปลี่ยนแปลง ประเทศนี้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดคือ ต้องทำลายความเหลื่อมล้ำทุกเรื่องให้พังทลายไป” และย้ำว่า วันนี้รัฐบาลไม่มีความเชื่อมั่น จึงส่งผลกระทบต่อการค้า ต่างประเทศไม่เชื่อถือ ลุกลามไม่เกิดการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ อีกอย่างรัฐบาลต้องเปิดข้อมูลให้ประจักษ์ชัดว่า ประเทศกำลังสู้กับภัยคุกคามอะไรอยู่ และคนที่มีหน้าที่ป้องกันภัยคุกคามจากชาติมหาอำนาจกลับปล่อยปละละเลย

“สิ่งสำคัญ คือ ถ้าคนไทยได้รับรู้ว่า สิ่งที่คนไทยต้องเจอนั้นจะใหญ่กว่ากระดานการเมืองที่เห็นกว่าปกติ ซึ่งคนไทยต้องคิดอ่านว่า วันหนึ่งต้องลุกขึ้นมาทั้งแผ่นดินกันอีกครั้งหนึ่ง โดยภัยคุกคามอันใหญ่ของมหาอำนาจนั้น กำลังเฝ้ารอจังหวะยามไทยเกิดความเพลี่ยงพล้ำ และเชื่อว่า จะไกลหรือใกล้ ไม่กี่วันก็จะมีคำตอบ” นายจตุพร กล่าว.