posttoday

อดีตเลขาสมช.แนะ"บิ๊กตู่"ยอมถอยทำตามข้อเรียกร้องของนศ.

27 กรกฎาคม 2563

อดีตเลขา สมช.เชื่อผู้ชุมนุมจะขยายวงไปทั่วประเทศในเวลาอันรวดเร็ว จี้นายกฯยอมถอยเปิดทางสร้างความเชื่อมั่น ทำตามฉันทามติร่วม ก่อนประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

เมื่อวันที่ 27 ก.ค.พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) และคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย(พท.) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของนักเรียน นักศึกษา ประชาชนจะสร้างความรับรู้ จนขยายวงเพิ่มขึ้นไปทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการชุมนุมไปแล้วกว่า 40 จังหวัด เพื่อแสดงเจตนารมณ์ และนำเสนอข้อเรียกร้องหลักทั้ง 3 ประการ ซึ่งประกอบด้วย การเรียกร้องให้ยุติการคุกคามประชาชน การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภา เชื่อว่าจะขยายวงไปครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยผู้เข้าร่วมจะไม่ถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มนักศึกษาเป็นหลักเท่านั้น ขณะที่เนื้อหาสาระในการชุมนุมจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยกระบวนการดังกล่าว จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ เปิดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ

อดีตเลขาสมช. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงรับรู้และมองเห็นปัญหาในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการชุมนุมจะมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่มีแกนนำและจะเชื่อมโยง รับลูกถึงกันด้วยอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งจะมีความต่อเนื่อง และกระจายออกไปพื้นที่ต่างๆ แม้ฝ่ายความมั่นคงสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจในประเด็นเหล่านี้ แต่ผู้มีอำนาจที่ไม่ได้มาตามครรลองประชาธิปไตย มักเป็นพวกที่หูตึงตาบอดจึงเชื่อว่ากลุ่มการเคลื่อนไหวถูกยุยงมาเป็นคุณลักษณะ ของผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจ

ทั้งนี้ เชื่อว่าฝ่ายผู้มีอำนาจมีการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในอดีต เพียงแต่เห็นว่าปัจจุบัน มีความพยายามที่จะผ่อนสถานการณ์แต่สายเกินไปแล้ว เพราะประชาชนไม่เกิดความเชื่อถือศรัทธาอันมาจากการบริหาร ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดหากผู้มีอำนาจ บริหารจัดการและยอมถอยเป็น ก็จะไม่เกิดปัญหา แต่หากชผู้มีอำนาจไม่ยินยอมที่จะถอย ยังยืนกรานที่จะยอมหักไม่ยอมงอ สุดท้ายประวัติศาสตร์ ที่เรียนรู้มาก็คงหลีกเลี่ยงความรุนแรงยาก

พล.ท.ภราดร เชื่อว่า พลังการเคลื่อนไหวของนักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนจะกลายเป็นฉันทามติร่วม ที่นำไปสู่การแก้ไข และการดำเนินการตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 เรื่อง เพราะการเคลื่อนไหว ของนักเรียนนักศึกษาเชื่อมโยงไปถึงคนทุกกลุ่ม ข้อเสนอจะตกผลึกและกลายเป็นความชอบธรรมของคนส่วนใหญ่ โดยเชื่อว่ากระบวนการต่างๆจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ต้องเป็นไปตามหลักการทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมาถึงจุดที่โชคร้ายของนายกรัฐมนตรี เพราะกลายเป็นตัวปัญหาหลัก คนขาดความเชื่อมั่นและต้องการผู้นำใหม่ เพื่อเข้ามาดำเนินการ เพื่อทำให้ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ประการ สัมฤทธิ์ผลและมีประสิทธิภาพตรงใจประชาชน

"ผมเห็นว่านายกรัฐมนตรีจะต้องถอยเพื่อให้บุคคลใหม่เข้ามาดำเนินการ ในสิ่งที่ประชาชนต้องการ จึงจะเกิดความเชื่อมั่นว่าข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ จะเกิดขึ้นได้จริง เช่น การหยุดการคุกคาม ตราบใดที่ผู้มีอำนาจมีรากฐานมาจากเผด็จการ มาจากการยึดอำนาจ จึงเป็นเรื่องยากที่จะหยุดการคุกคามประชาชน เพราะเจ้าหน้าที่จะลอกเลียนแบบตัวผู้นำ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเห็นว่า เกิดขึ้นได้ยากเพราะรัฐธรรมนูญถูกออกแบบ เพื่อพวกพ้องตนเอง จึงมีวุฒิสมาชิก 250 คน ดังนั้นจะไปคาดหวัง เพื่อให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากตัวนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเรื่องยาก"อดีตเลขาธิการสมช.กล่าว