posttoday

"ปารีณา"ลั่นสู้คดีถึงที่สุด เมินกฤษฎีกาตีความรุกป่า

13 กุมภาพันธ์ 2563

"ปารีณา" แจง ศาลยังไม่ตัดสินปมรุกป่า เป็นแค่กฤษฎีกาตีความ ยันมีสิทธิ์สู้คดีถึงที่สุด ลั่นไม่ใช้เส้นรัฐมนตรีในพปชร.ช่วยคดี โอดถูกปฏิบัติมากกว่าคนอื่น

เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 63 น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ แถลงถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า เขาสนฟาร์ม ของ น.ส.ปารีณา ในพื้นที่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี มีสถานะเป็นป่า โดยมีการระบุว่า ยังไม่เพิกถอนสภาพเป็นป่าสงวนแห่งชาติจนกว่าจัดสรรกระจายสิทธิที่ดิน ส.ป.ก. แล้วเสร็จ และมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา

น.ส.ปารีณา กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ใช่การตัดสินของศาลฎีกา เป็นเพียงการตีความของกฤษฎีกา ตนยืนยันว่าจะสู้คดีจนถึงที่สุด และยืนยันว่าไม่ได้บุกรุกป่าร้อยเปอร์เซนต์ และกฤษฎีกาเป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาทางกฎหมายของรัฐบาล ไม่ได้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกัน ตนมีสิทธิที่จะโต้แย้ง และต่อสู้กับกฤษฎีกา ส่วนจะสละเอกสิทธิ์และเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาตนเองไม่มีปัญหาอะไร และยังไม่รู้ว่าจะถูกดำเนินคดีอะไรบ้าง เพราะทางป่าไม้ และ ส.ป.ก.ยังไม่มีหนังสือส่งถึงตนให้ไปชี้แจง

ส่วนที่กฤษฎีการะบุว่า ทั้งป่าไม้ และส.ป.ก.สามารถดำเนินคดีกับตนได้ นั้นเป็นความเห็นของที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายรัฐบาล เพราะยังไม่ทราบว่า ทั้ง ส.ป.ก. และป่าไม้ใครจะเป็นคนดำเนินคดี ซึ่งก็เป็นเพียงคำแนะนำของกฤษฎีกาเท่านั้น ส่วนหากเจ้าหน้าที่ส.ป.ก. และเจ้าหน้าที่ป่าไม้นัดนำชี้พื้นที่พร้อมไปหรือไม่นั้น น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ตามที่อธิบดีกรมป่าไม้ เคยชี้แจงไปก่อนหน้านี้ ว่าพื้นที่ 1,700 ไร่ อยู่ตรงไหนบ้าง อธิบดีก็บอกว่าไม่แน่ใจ แต่จะดูจากร่องรอยและก็เป็นสิทธิ์ของตน ไม่สามารถไปบีบบังคับได้

อย่างไรก็ตามนางปารีณายืนยันว่าจะไม่ใช้เส้นสายของรัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐ เพื่อช่วยให้หน่วยงานรัฐไม่ดำเนินคดีกับตนเองอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมา ล้วนเป็นคำกล่าวหาจากสังคม และสื่อมวลชนบางฝ่าย ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริง

"ทุกคนก็เห็นว่าดิฉันถูกปฏิบัติเกินกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ชาวบ้านประกาศให้ออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน แต่ของดิฉันถูกประกาศให้ออกจากพื้นที่ภายใน 7 วัน ถูกกระทำเยอะมาก หรือเพราะว่าดิฉันชื่อปารีณาหรือไม่ ทุกคนจึงมาทำแบบนี้"

ส่วนที่จะมีการดำเนินคดีเพิ่มเติมนั้น นางปารีณากล่าวว่าตนยังไม่เห็นข้อกล่าวหาที่ชัดเจน ให้แจ้งข้อกล่าวหามาก่อน แต่ตนจะปกป้องตัวเอง ก่อนหน้านี้มีฝ่ายตรงข้าม ออกมาโจมตี นำคดีมาเทียบเคียง ถ้าใครพูดอะไรก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูด จะไม่ปล่อยให้มีการกระทำเหมือนที่ผ่านมา

ด้าน นายทศพล เพ็งส้ม ในฐานะเป็นทนายความที่พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เราพยายามตรวจสอบทุกพื้นที่ที่มีการออก พ.ร.ก.ปฏิรูปที่ดินว่ามีการดำเนินการของ ส.ป.ก. โดยตั้งข้อสังเกตว่า ใครจะเป็นคนแจ้งก่อน เพราะกฎหมายของกรมป่าไม้กับ ส.ป.ก. เวลาสู้คดีใช้คนละฉบับ และความเป็นจริงเรื่องไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว จึงต้องไปสอบผู้ใหญ่บ้าน

ซึ่งเท่าที่สอบถามน.ส.ปารีณา ซึ่งทราบสปก. ยังไม่ได้ดำเนินการสอบข้อเท็จจริง และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ วระบุว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งของการดำเนินการของส.ป.ก. ที่ระบุว่า เมื่อใดก็แล้วแต่ที่มีงบประมาณ หรือทำแผน จึงต้องไปตรวจสอบว่า ที่ดินที่ประกาศกฤษฎีกาแล้วมีการยกเลิก และกลับมาประกาศใหม่ส.ป.ก.ได้มีการวางแผนอะไรหรือไม่ โดยต้องดูว่า ที่ดินที่ราชบุรีที่ส.ป.ก. ให้ดำเนินการ มีการจัดสรรงบประมาณไปเมื่อไหร่

"สิ่งที่น่าสังเกตคือ บางคนที่ประกาศออกกฤษฎีกา จนถึงปัจจุบัน บางแปลงมีการออกโฉนดที่ดินไปแล้ว ทำไมบางแปลงออก บางแปลงไม่ออก ไม่ได้อยู่ในผืนเดียวกันหรือ อีกทั้งพบว่า เอกสารที่เกษตรอำเภอไม่มี หายหมด ดังนั้น เราสงสัยว่า ข้อเท็จจริงที่ ส.ป.ก. และกรมป่าไม้ได้มานั้น ได้มาได้อย่างไร ทั้งนี้ ในวันนี้ตนในฐานะทีมทนายที่ต่อสู้คดีให้ น.ส.ปารีณา เรามีแนวคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ข้อเท็จจริงปรากฎ และต่อสู้ทางคดี ไม่ใช่การตอบโต้ทางสังคม"

ต่อข้อถามว่าต้องต่อสู้ในประเด็นการถือครองด้วยหรือไม่ เพราะมีคนมองว่าการถือครองอาจจะไม่ชอบธรรม นายทศพล กล่าวว่า ในระเบียบของส.ป.ก. ถ้าระบุว่าได้มาโดยไม่ชอบ สมมติพ่อตาย แต่มี ส.ป.ก. อยู่แล้วลูกไม่เอา มาขายให้น.ส.ปารีณา ก็ถือเป็นการส่งมอบ ซึ่งแต่ละแปลงก็ไม่เหมือนกัน และในหลายๆส่วนที่กฤษฎีกาตีความ มันก็น่าฉงนใจว่า ในบางข้อความระบุว่า ป่าไม้ไม่มีความรับผิด ป่าไม้ไม่มีอำนาจ แต่ในท้ายที่สุดของความเห็นของกฤษฎีกา ว่า ถ้ามีการบุกรุก ส.ป.ก. จะเป็นผู้เสียหาย ตนจึงบอกว่าถ้าสปก.ไม่มีอำนาจอยู่แล้ว จะมีอำนาจมาแจ้งความร้องทุกข์ น.ส.ปารีณาได้หรือ

ส่วนประชาชนที่เราไปขอข้อมูล และเอกสาร แค่ถามว่าได้โฉนดมาได้อย่างไร ไม่ได้เป็นการเอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน เพียงแต่อยากได้ข้อเท็จจริง และอยากทราบการได้มาของโฉนด ส่วนการนำชี้พื้นที่นั้น วันนี้เจ้าหน้าก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ และนำคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมานำชี้ ซึ่งจะไม่มีการไปนำชี้พื้นที่ เพราะหากไปนำชี้พื้นที่ก็เท่ากับเป็นการรับสารภาพ