posttoday

เร่งไฟต้มกบ! “พิชัย” ชี้ ศก.ปีนี้ทรุดหนัก ปัญหาใหม่ซ้ำเติมปัญหาเดิม

01 กุมภาพันธ์ 2563

อดีต รมว. พลังงาน ชี้ เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยดับทุกเครื่อง ปีนี้ทรุดหนัก ย้ำ ปัญหาใหม่ซ้ำเติมปัญหาเดิมเหมือนเร่งไฟต้มกบ ถาม รัฐบาลหมดความน่าเชื่อถือแล้ว คนไทยจะทนต่อได้หรือ

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในงานประชุมประจำปี สมาคมขนส่งสินค้าเพื่อการนำเข้าและส่งออก ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ไทย ปลายศตวรรษที่ 21 จะไปในทิศทางไหน” ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะย่ำแย่ และจะหนักกว่าปี 2562 ทั้งนี้เพราะทุกเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทยได้ดับหมดทุกเครื่องแล้ว ถ้าเปรียบเป็นเครื่องบินก็คงจะเตรียมโหม่งพื้นแล้ว ทั้งนี้เพราะเหตุผลดังนี้

- การส่งออกในปี 2563 นี้น่าจะไม่ขยายตัวจากปีที่แล้วทึ่ติดลบ 2.65% และอาจจะติดลบด้วยเพราะปีนี้ สหรัฐจะเริ่มตัดจีเอสพีในสินค้าไทยหลายชนิด 573 รายการ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยต้องจ่ายภาษีเต็มและแข่งขันยาก อีกทั้งขาดการลงทุนใหม่ๆมาหลายปีจากสภาวะการเมืองทำให้ไม่มีการผลิตสินค้าใหม่ๆ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาการส่งออกของไทยเพิ่มเฉลี่ยเพียงปีละ 2 % เท่านั้นซึ่งต่ำมากในขณะที่เพื่อนบ้านโตปีละเป็น สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะเวียดนาม การส่งออกได้แซงหน้าไทยแล้ว อีกทั้งไทยยังเจอภาวะค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่อาจจะเริ่มผ่อนคลายแล้วในช่วงนี้

- การท่องเที่ยว ที่เคยเป็นพระเอกมาตลอด 5 ปี แต่ปีนี้จะทรุดหนัก โดยมีโอกาสติดลบสูงจากไวรัสโคโรน่า ที่กำลังเริ่มจะระบาดอย่างมากในประเทศจีนและอีกหลายประเทศ และรัฐบาลจีนได้ห้ามประชาชนท่องเที่ยวนอกประเทศแล้ว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด สถานการณ์ยังไม่แน่ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่น่าจะใช้เวลานาน การท่องเที่ยวของไทยจะเสียหายหลายแสนล้านบาท และจะซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้หนักยิ่งขึ้น

- การใช้จ่ายภาครัฐ ต้องหยุดชะงักเนื่องจากการเสียบบัตรแทนกันของ สส. ฝั่งรัฐบาล ซึ่งทำให้งบประมาณที่ล่าช้าอยู่แล้ว ต้องล่าช้าออกไปอีก

- การบริโภคของประชาชน จะลดน้อยลง จากรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้ของเกษตรกรที่ลดลงจากราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง อีกทั้งหนี้ครัวเรือนไทยกำลังจะพุ่งเกิน 80% จากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ตลอดหลายปี จะเป็นข้อจำกัดในการบริโภค

- การลงทุนภาคเอกชน ยังคงซบเซา เพราะนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่มีความมั่นใจในรัฐบาล ถึงแม้รัฐบาลจะต่อว่าเอกชนอย่างไรเขาก็ไม่ลงทุนในไทย แต่นักลงทุนไทยกลับไปลงทุนต่างประเทศกันมาก เพราะมั่นใจมากกว่า

สำหรับด้าน โลจิสติกส์ ตนยังอยากเห็นไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียน รัฐควรทุ่มงบประมาณพัฒนาด้านนี้ ซึ่งจะทำให้ไทยพัฒนาต่อไปได้อีก และอยากให้ศึกษาโมเดลธุรกิจของ โกเจ็ก และ แกร๊บ การลดราคาน้ำมันดีเซล 5 บาท โดยลดการเก็บภาษีสรรพสามิต การติดตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านโลจิสติกส์ ไม่ว่าจะเป็น การใช้โดรนส่งสินค้า รถยนต์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องมีคนขับ ไฮเปอร์ลูป แม้กระทั่งการส่งคนไปอยู่บนดาวอังคารจริงๆ ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ ของ อีลอน มัสก์ เป็นต้น

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าปัญหาเศรษฐกิจของไทยเกิดจากการสะสมปัญหามาตลอด 5 ปีกว่า ที่รัฐบาลไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง ส่งผลกระทบรุนแรงมาจนถึงปัจจุบัน แล้วยังมาเจอปัญหาใหม่ซ้ำเติมทั้งไวรัสโคโรน่า เสียบบัตรแทนกัน ฝุ่น PM2.5 ภัยแล้ง บาทแข็ง ประปาเค็ม ทำให้ปัญหาเพิ่มขึ้นทุกทาง เหมือนเร่งไฟหม้อต้มกบ และรัฐบาลไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ จนประชาชนเริ่มทนกันไม่ไหว แฮชแท็ก #รัฐบาลเฮงซวย จึงขึ้นอันดับหนึ่งหลายครั้ง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่สงสัยกันว่ารัฐบาลนี้จะสามารถนำพาประเทศฝ่าวิกฤตเหล่านี้ไปได้อย่างไร เพราะ 5 ปีที่ผ่านมายังบริหารประเทศได้ย่ำแย่ขนาดนี้ โดยทั้งนี้ กำลังเข้าสู่โหมดการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ้งคงมีข้อมูลออกมามาก

ดังนั้น ในภาวะปัจจุบันที่ทั้งปัญหาใหม่และปัญหาเก่าถาโถมเข้ามา รัฐบาลต้องตั้งหลักให้ได้ จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง อย่าสะเปะสะปะเหมือนที่ทำมาตลอด ภาวะวิกฤตปัจจุบันต้องการบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ขนาดคนเก่งสุดยังบริหารยากเลย แล้วเอาคนที่ไม่รู้เรื่องแถมยังพูดมั่วๆตลอด จะนำพาประเทศผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างไร ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องตัดสินใจว่าประเทศนี้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร เพราะถ้าเป็นเหมือน 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไปไม่รอดแน่ คงเป็นกบต้มตายกันยกหม้อ