posttoday

"โอ๊ค" ลั่นไม่หนีพร้อมฟังคำพิพากษาคดีกรุงไทย 25 พ.ย.นี้

26 กันยายน 2562

"พานทองแท้"เบิกความไม่เกี่ยวการฟอกเงินกรุงไทยศาลนัดพิพากษา25พ.ย.นี้

"พานทองแท้"เบิกความไม่เกี่ยวการฟอกเงินกรุงไทยศาลนัดพิพากษา25พ.ย.นี้

นายพานทองแท้ ชินวัตรหรือโอ๊ค บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังขึ้นเบิกความ คดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทยนัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 26ก.ย.ว่า ไม่ได้เครียดอะไรมาก แต่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นการเข้าไต่สวนเป็นครั้งแรก บรรยากาศในห้องพิจารณาไม่เครียดทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรต้องกังวลเพราะพูดทุกอย่างตามความจริง วันนี้ได้ให้คำตอบกับศาลไปอย่างชัดเจน ในทุกข้อซักถามแต่ก็ไม่ทราบว่าจะชัดพอไหม

ทั้งนี้ เมื่อถามว่า มีความคาดหวังกับผลคดีอย่างไร นายพานทองแท้ กล่าวว่า มีความคาดหวังสิ่งที่พูดไปกับศาลวันนี้จะทำให้ผลการตัดสินจะออกไปในทิศทางที่ดี ซึ่งหลังจากเสร็จขึ้นศาลวันนี้ก็จะไปทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล และจะกลับมาฟังคำตัดสินอีกครั้งในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ซึ่งจะเดินทางมาตัดสินด้วยตนเอง

สำหรับบรรยากาศการศาลไต่สวนพยานนัดสุดท้าย คดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี นั้น นายพานทองแท้ ซึ่งตก เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 ได้ให้การปฏิเสธโดยสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นที่ได้ร่วมลงทุนกับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชายของนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร

"โอ๊ค" ลั่นไม่หนีพร้อมฟังคำพิพากษาคดีกรุงไทย 25 พ.ย.นี้

"โอ๊ค" ลั่นไม่หนีพร้อมฟังคำพิพากษาคดีกรุงไทย 25 พ.ย.นี้

ขณะที่นายพานทองแท้ ได้เบิกความว่า ได้ร่วมเกี่ยวกับการวางแผนที่จะดำเนินธุรกิจนำเข้ารถยนต์ซุปเปอร์คาร์ ทีจะมี นายรัชฎา บุตรชายวิชัย ผู้บริหารเครือกฤษดามหานครร่วมด้วยว่า แนวคิดดังกล่าวตนเองเป็นผู้คิดเอง มาตั้งแต่ช่วงปี 2547 จากที่ได้มีการพูดคุยในกลุ่มเพื่อน 5-6 คน โดยหลังจากพูดคุยกันแบบไม่เป็นทางการแล้ว ในวันรุ่งขึ้น นายรัชฎา ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับจำเลยว่าจะขอร่วมลงทุนด้วย

สาเหตุที่ นายรัชฎา เร่งโทรมาคุยเพราะกังวลว่า ตนเอง จะลืมชักชวน นายรัชฎา ในการลงทุนด้วย ซึ่งแนวคิดขณะนั้นคิดไว้เพียงว่าการลงทุนน่าจะต้องใช้เงินลงทุนคนละ 20 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าร่วมลงทุนกี่คนเนื่องจากมูลค่ารถซุปเปอร์คาร์นั้นต่อคันจะตกอยู่ที่ 20 ล้านบาทขึ้นไป โดยช่วงนั้นที่ยังไม่มีบุคคลอื่นมาร่วมเสนอลงทุนด้วย โดยตนเองได้ให้ นายเฉลิม แผลงศร ซึ่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน (CFO) ที่ดูแลเรื่องการเงินทุกบริษัทของจำเลยไปศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจดังกล่าว

อย่างไรก็ตามแม้นายเฉลิม จะไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ซุปเปอร์คาร์แต่ที่จำเลยมอบหมายงานให้ศึกษาเพราะเป็นผู้ที่จำเลยให้ความไว้วางใจในเรื่องที่ได้ดูแลเรื่องการเงินบริษัทและเงินส่วนตัว รวมทั้งธุรกิจของจำเลยด้วย โดยสุดท้ายธุรกิจนี้ไม่ได้ดำเนินไป ซึ่งยุติลงในชั้นของการศึกษาแนวทางก็เพราะ นายเฉลิม ได้แจ้งผลการศึกษาการดำเนินธุรกิจนี้ให้กับจำเลยทราบว่ามีความเป็นไปได้ยาก และจะไม่คุ้มเงินลงทุนทางธุรกิจ ส่วนที่ นายรัชฎา โอนเงิน 10 ล้านบาทให้จำเลย ที่จะมาร่วมลงทุนโดยเป็นเช็คชื่อ นายวิชัย นั้นจำเลยไม่ทราบเหตุผล

นอกจากนี้นายพานทองแท้ ยังได้ตอบคำถามศาลเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว รวมทั้งความใกล้ชิดสนิทสนม ระหว่างนายพานทองแท้ กับนายเฉลิม นายรัชฎาและนายวิชัยว่า ในครอบครัวตนเอง มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองคือ นายทักษิณ บิดา น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาของจำเลย ซึ่งทั้งสองเคยเป็นนายกรัฐมนตรีและลูกพี่ลูกน้องที่เป็น ส.ส. ส่วนตนเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยปัจจุปันจำเลยประกอบธุรกิจส่วนตัว ซึ่งมีอยู่ 7 กิจการ อาทิ บ.ว๊อยซ์ทีวี บ.ฮาวคัม โดยจำเลยมีรายได้ 1ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในจำนวนนั้น 400,000 บาทเป็นค่าตอบแทนที่ได้จากธุรกิจว๊อยซ์ทีวีที่เหลือเป็นเงินปันเงิน จากหุ้นบริษัทต่างๆ ซึ่งจำเลยจะมีค่าใช้จ่าย 400,000 -500,000 บาทต่อเดือน

ในส่วน ธุรกิจของครอบครัวปัจจุปันมีประมาณ 7 กิจการ เช่น โรงแรมโรสวูด แบงค์คอก กับสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งบางกิจการจำเลยก็มีหุ้นอยู่ด้วย และใกล้ชิดสนิทสนมกับนายรัชฎา รู้จักมาตั้งแต่อายุ 21 ปีและเคยไปหา นายรัชฎา ที่บ้านซึ่งอยู่ในพื้นบริเวณเดียวกันกับบ้านของนายวิชัยแต่เป็นคนละหลัง โดยไม่เคยไปพบนายวิชัยที่บ้าน

นายพานทองแท้ ยังตอบคำถามศาลด้วยว่า ระหว่างการถูกดำเนินคดี ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ 3 หน่วยงาน ซึ่งได้กล่าวถึงประเด็นการเมืองที่เชื่อว่าถูกกลั่นแกล้งแต่ไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานได้ตรวจสอบโดยมี 2 หน่วยงานที่แจ้งกลับมาว่าจะทำการตรวจสอบให้ คือ สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยยืนยันว่าไม่รู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองใดๆ เป็นการส่วนตัว กับพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้

ภายหลัง นายพานทองแท้ เบิกความตอบคำถามศาล อัยการโจทก์ และทนายความจำเลย เสร็จสิ้นแล้วในเวลา 12.45 น. ศาลเห็นว่าได้ไต่สวนพยานครบถ้วนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้วจึงนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ตามกำหนดเดิม คือวันที่ 25 พ.ย.นี้เวลา 10.00 น. โดยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วันนับจากวันนี้ หากไม่ยื่นภายในกำหนดจะถือว่าไม่ติดใจ