posttoday

ถึงคิวพรรคสุเทพ! "ศรีสุวรรณ" ร้อง กกต. ยุบ รปช.

22 มีนาคม 2562

“ศรีสุวรรณ” ร้อง “กกต.” ชง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ยุบ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ชี้ “สุเทพ-เบญญา” พูดปฏิวัติ-ก่อม็อบ อาจทำประชาชนกลัวไม่กล้าไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

“ศรีสุวรรณ” ร้อง “กกต.” ชง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ยุบ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ชี้ “สุเทพ-เบญญา” พูดปฏิวัติ-ก่อม็อบ อาจทำประชาชนกลัวไม่กล้าไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 22 มี.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  เพื่อขอให้ไต่สวน และวินิจฉัย กรณีนางเบญญา นันทขว้าง ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาระบุว่า “ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยกงเต๊กชนะเลือกตั้งที่สุดก็จะปฏิวัติอีกรอบ” และกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย  ที่กล่าวปราศรัยที่จ.ปัตตานีตอนหนึ่ง ว่า “ถ้าเลือกพรรคเพื่อ...ก็ไปเจอกันที่ราชดำเนิน” ซึ่งกรณีนี้ตนคิดว่าการที่ผู้สมัครพรรครปช. นำเสนอปราศรัยต่อสาธารณะเช่นนั้น เป็นลักษณะข่มขู่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เข้าข่ายความผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ที่ระบุว่าบุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุขไม่ได้ ขณะเดียวกันอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 92(2) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และหรือมาตรา 73(5) ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ปี2561 หรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การใช้คำว่า “ปฏิวัติ” นั้นเป็นถ้อยคำที่แสลงที่สุดในระบอบประชาธิปไตย เป็นการใช้ถ้อยคำที่ต้องการที่จะสื่อให้กับสาธารณะหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้หวาดกลัวต่อการออกไปใช้สิทธิในวันที่ 24 มี.ค.62 นี้ว่าหากผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่เลือกฝ่ายตน หรือพรรคการเมืองฝ่ายตน แล้วไปเลือกแต่ฝ่ายที่อ้างประชาธิปไตยก็อาจนำไปสู่การปฏิวัติอีกได้ รวมทั้งกรณีนายสุเทพ กล่าวปราศรัยดังกล่าวที่อาจถือได้ว่าเป็นการข่มขู่ประชาชนหรือไม่ การพูดเช่นนี้คือการไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนหรือเปล่า การเอาเงื่อนไขที่จะไปที่ราชดำเนินคือการสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การยึดอำนาจอีกรอบใช่หรือไม่

โดยการกระทำดังกล่าวของสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทยทั้งสองอาจเข้าข่ายความผิดตาม ม.93(5) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 ซึ่งมีโทษตาม มาตรา 159 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี นอกจากนั้นยังอาจเข้าข่ายความผิดตาม ม.92(2) ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 อีกด้วย ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค รวมพลังประชาชาติไทยต่อไปได้ ด้วยเหตุดังกล่าวเราจึงจะนำคำร้องพร้อมพยานหลักฐานไปยื่นต่อ กกต. เพื่อพิจารณาไต่สวน วินิจฉัย และดำเนินการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรครวมพลังประชาชาติไทย ต่อไป