posttoday

"รสนา"จี้สรรพากร-ศุลกากรตรวจสอบภาษีนาฬิกาหรู"บิ๊กป้อม"

23 มกราคม 2562

"รสนา"ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากรและอธิบดีสรรพากรขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาหรูที่บิ๊กป้อมใส่

"รสนา"ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากรและอธิบดีสรรพากรขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาหรูที่บิ๊กป้อมใส่

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า เมื่อปีที่แล้วได้ส่งหนังสือนายกุลิศ สมบัติศิริ ขณะนั้นเป็นอธิบดีกรมศุลกากร ให้ตรวจสอบกรณีการนำเข้านาฬิกาหรูที่พบบนข้อมือของพล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ

บัดนี้ได้รับคำยืนยันจากรายงานของ ป.ป.ช แล้วว่านาฬิกา22 เรือนไม่มีข้อมูลการเสียภาษีนำเข้า แสดงว่าเป็นนาฬิกาหนีภาษี

จึงขอให้กรมศุลกากรออกมาให้ข้อมูลต่อสาธารณะว่าจะมีการยึดนาฬิกาที่ไม่ได้เสียภาษีให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา27ของพรบ.ศุลกากร 2469 หรือไม่ และจะดำเนินการให้แล้วเสร็จ เมื่อไร

“ขอให้อธิบดีกรมศุลกากรและกรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาทั้ง25เรือนตามดำริของนายกฯให้เป็นไปตามกลไกของกฎหมาย”

วันนี้(22 ม.ค 2561) ดิฉันส่งหนังสือลงทะเบียนและเอกสารใบตอบรับไปยังอธิบดีกรมศุลกากร และอธิบดีกรมสรรพากร ขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีของนาฬิกาที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณสวมใส่ทั้ง25เรือน

การที่พลเอกประวิตรให้สัมภาษณ์ว่านาฬิกาทั้งหมดยืมเพื่อนมาและคืนไปหมดแล้วนั้นไม่เป็นเหตุทำให้กรมศุลกากรและกรมสรรพากรยุติการตรวจสอบ เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท

ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 157(4)ให้อำนาจพนักงานศุลกากรมีหนังสือเรียกผู้นำของเข้ามาตรวจสอบหากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายศุลกากร

การที่นาฬิกาหรูเป็นนาฬิกาที่ผลิตในต่างประเทศและพลเอกประวิตรสวมใส่นั้น ในเบื้องต้นต้องถือว่าพลเอกประวิตรเป็นผู้นำเข้า อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจออกหนังสือแจ้งให้พลเอกประวิตรมาตรวจสอบว่ามีการเสียอากรขาเข้าถูกต้องหรือไม่ หากพลเอกประวิตรให้การว่ายืมนายก. นายข.มาสวมใส่ ตนไม่ใช่ผู้นำเข้า พลเอกประวิตรต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย โดยการนำนายก.นายข.นั้นมายืนยันพร้อมหลักฐานที่นายก.นายข.ซื้อมาจากร้านในต่างประเทศ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีและใบรับประกัน หากไม่มีหลักฐานดังกล่าวนี้ มีแต่ข้ออ้างลอยๆว่าเป็นของนายก.นายข.ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นนาฬิกาของนายก. นายข.และต้องถือว่าเป็นนาฬิกาของพลเอกประวิตร

พลเอกประวิตรก็ต้องถูกประเมินเรียกเก็บภาษีและต้องถูกดำเนินคดีอาญาฐานนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและเสียภาษีให้ถูกต้อง. แต่ถ้านายก.นายข.มีหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาจริงเพราะซื้อมาจริง มีใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีและใบรับประกันมาเป็นหลักฐาน ก็ต้องพิสูจน์ต่อไปว่าได้เสียอากรขาเข้าแล้วหรือไม่ หากพิสูจน์ไม่ได้ก็มีความผิดตามมาตรา 242 และพลเอกประวิตรผู้สวมใส่นาฬิกาก็มีความผิดตามมาตรา246ที่รับของหนีภาษีไว้สวมใส่

สำหรับอธิบดีกรมสรรพากร ดิฉันขอให้ใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ออกหมายเรียกพลเอก ประวิตรมาไต่สวนว่าเป็นนาฬิกาของพลเอกประวิตรหรือของเพื่อนให้ยืมสวมใส่ หากเป็นนาฬิกาของพลเอกประวิตร ก็ให้ตรวจสอบต่อไปว่าเงินที่พลเอกประวิตรนำมาซื้อนาฬิกานั้นได้เสียภาษีหรือยัง หากยังไม่ได้เสียภาษี ก็ต้องประเมินให้เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ทั้งดำเนินคดีอาญาพลเอก ประวิตรฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37ด้วย แต่ถ้าพลเอกประวิตรให้การว่าเป็นนาฬิกาของนายก. นายข. อธิบดีกรมสรรพากรต้องเรียกนายก.นายข.มาชี้แจงเรื่องภาษี หากนายก. นายข.ยังไม่ได้เสียภาษีเงินได้ กรมสรรพากรก็ต้องประเมินให้เสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม และดำเนินคดีอาญากับผู้ให้ยืมฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรมาตรา37เช่นเดียวกัน

จึงขอให้อธิบดีกรมศุลกากรและกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเป็นไปตามดำริที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ให้กลไกการตรวจสอบที่มาของนาฬิกาหรูเหล่านั้นดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย”

การดำเนินการหรือไม่ดำเนินการของอธิบดีทั้ง2กรมฯจะเป็นข้อพิสูจน์ว่ากลไกตรวจสอบตามกฎหมายที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างถึงนั้น จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เมื่อผู้ที่ต้องถูกตรวจสอบอยู่ในตำแหน่งระดับสูงรองมาจากตำแหน่งของท่านนายกรัฐมนตรี !!??