อภิสิทธิ์ยก 3 เหตุผล ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
"อภิสิทธิ์" ยก 3 เหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญชี้ไม่ตอบโจทย์พัฒนาประเทศ ระบุหากไม่ผ่านประชามติพร้อมนุน "บิ๊กตู่"นำฉบับปี50 มาปัดฝุ่น
"อภิสิทธิ์" ยก 3 เหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญชี้ไม่ตอบโจทย์พัฒนาประเทศ ระบุหากไม่ผ่านประชามติพร้อมนุน "บิ๊กตู่"นำฉบับปี50 มาปัดฝุ่น
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้แถลงจุดยืนต่อร่างรัฐธรรมนูญในนามหัวหน้าพรรค และยึดจุดยืนอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์โดยระบุว่า ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเหตุผล 3 ประการ คือ 1.ทิศทางพัฒนาไม่ชัดเจน 2.การปราบโกงยังมีช่องโหว่ และ 3. ที่มา สว. เป็นประเด็นขัดแย้งในอนาคต
นายอภิสิทธิ์ แถลงว่า ตอนที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ตนเคยแถลงยืนยันว่าไม่รับคำถามพ่วง วันนี้จึงไม่ต้องพูดถึงอีก และใช้คำว่าไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ และยังต้องการเห็นทางเลือกที่ชัดเจนว่าถ้าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วจะเป็นยังไง รวมทั้งต้องการเห็นบรรยากาศการเมืองไม่นำไปสู่ความวุ่นวายขัดแย้ง เพราะไม่ต้องการเป็นส่วนเติมให้เกิดความขัดแย้งนั้น
"วันนี้ไม่อาจเป็นมติพรรคเพราะประชาธิปัตย์ประชุมพรรคไม่ได้เช่นเดียวกับพรรคอื่น ๆ แต่ผมไม่มองว่าสิ่งที่จะแถลงเป็นความคิดเห็นส่วนตัว เป็นจุดยืนที่แสดงในฐานะหัวหน้าพรรคบนพื้นฐานอุดมการณ์พรรคตั้งแต่ก่อตั้งมาในปี 2479 จึงไม่ใช่เรื่องชอบไม่ชอบส่วนตัว แต่เป็นการสานต่ออุดมการณ์ที่สำคัญ ดังนั้นจุดยืนที่แถลงจึงถือเป็นการสืบสานจุดยืนอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สภาพปัญหาที่ประเทศชาติต้องได้รับการแก้ไข สรุปได้สามประเด็นหลัก หนึ่ง รัฐธรรมนูญจะส่งผลให้ทิศทางประเทศเดินไปทางใด และเป้าหมายคือทำให้ระบบการเมืองและเศรษฐกิจตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในประเทศโดยเฉพาะคนด้อยโอกาสหรือไม่ สอง หยุดการทุจริตคอรับชั่นอย่างไร และ สาม คนไทยไม่ต้องการเห็นวัฎจักรความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งการรัฐประหาร การชุมชนประท้วง การใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น นี่คือโจทย์ที่กำหนท่าทีต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ
"เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้ก็อยู่ในใจผู้ร่าง ของ คสช. รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ที่ต้องประเมินคือแม้ตั้งใจแก้ปัญหาทั้งสาม รัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาได้ตอบโจทย์เหล่านี้เพียงพอถูกต้องหรือไม่"หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับตน ข้อแรก ทิศทางการพัฒนาประเทศที่จะยั่งยืน ตอบสนองความต้องการทุกคนในประเทศได้ หนีไม่พ้นการอาศัยหลักการประชาธิปไตย ตนจะไม่พูดถึงระบบเลือกตั้ง คนนอกคนในหรือวาทกรรมใด ๆ แต่ความหมายคือต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตองประเทศมากน้อยแค่ไหน ถ้าประชาชนยากลำบากมีหลักประกันให้เขาได้สวัสดิการ ไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิ์จากรัฐ จาคนที่มีอำนาจในสังคมยังไง นอกจากนั้นจะต้องมีการกระจายอำนาจไปสู่ชุมชน ไปสู่ท้องถิ่น ซึ่งนับวันปัญหาและความต้องการหลากหลายขึ้นสามารถแก้ปัญหาของตนเองด้วย
"เรียนว่าร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นไม่ได้เดินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้ ทั้งหมวดสิทธิเสรีภาพและบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมให้หลักประกันน้อยว่าปี 2550 ไม่ว่าสิทธิของผู้บริโภค สิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม หรือความช่วยเหลือด้านกฎหมาย หรือแม้แต่สวัสดิการต่าง ๆ ยังไม่สามารถเขียนให้เกิดวามก้าวหน้าชัดเจน โดยเฉพาะวิธีเขียนเปิดโอกาสให้รัฐบาลนอนาคตสามารถออกฎหมายมาตีกรอบมาจำกัดขอบเขตการมีส่วนร่วมและบทบาทการแสดงออกของประชาชนทั้งผ่านการเลือกตั้ง และอื่น ๆ ที่จะกำหนดนโยบายสามารถก็ถูกจำกัดโดยบทบาทของภาคราชการ ทำให้มองว่าโอกาสที่รัฐธรรมนูญจะเป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศ ยกระดับความเป็นอยู่ประชาชน และมีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ของโลกได้ยากมาก
"จึงมองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี่ไม่สามารถตบโจทย์ให้ทิศทางการพัฒนาประเทศก้าวพ้นสภาพปัญหาต่างๆ ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องนามธรรม อยากจะบอกว่าสภาพเศรษฐกิจขณะนี้และบางยุคที่ผ่านมาน่าจะไม่ใช่นามธรรม รัฐบาลนี้พยายามกระตุนเศรษฐกิจไม่รู้กี่รอบ ภาใต้ความกดดันของเศรษฐกิจโลก แต่ไม่ว่าธุรกิจใหญ่กลางเล็ก การส่งออก ก็ได้รับข้อจำกัดกับเงื่อนไข ที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถตอบสนองกับความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า"นายอภิสิทธิ์กล่าว
ประเด็นที่สอง ความขัดแย้งในสังคมต้องแก้ไขโดยกระบวนการหลัก คือ กระบวนการทางการเมือง และกระบวนการยุติธรรม ระบอบประชาธิไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งและเสียงข้างมาก แต่กำหนดบทบาทองค์กรต่าง ๆ ในการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม หลักง่าย ๆ คือประชาชนกำหนดคนมาบริหารประเทศ แต่ต้องไม่บริหารตามใจลุแก่อำนาจโดยไม่ฝืนกับเจตนารมย์ประชาชน ปัญหาสำคัญคือวางน้ำหนักการตรวจสอบถ่วงดุล หรือไปคาดหวังจาก สว. 250 คนที่มาจากการเลือกกันเองในบทถาวรและการการคัดเลือกและแต่งตั้งในบทเฉพาะกาล ซึ่งพูดไม่ได้เต็มปากคำว่ามาจากตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง
"มองว่านอกจากจะไม่แก้ปัญหา ยังสร้างคู่ขัดแย้งใหม่ทางการเมืองใน 250 คนนี้ คือไม่ว่า สว. ชุดนี้จะสนับสนุนคนเสียงข้างมากหรือน้อยมาเป็นนายกฯก็ล้วนจะเป็นปมเกิดความขัดแย้งใหม่ๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญ กติกาที่วางมาครั้งนี้ยังแก้ยากมาก ไม่ใช่เฉพาะจากทุกพรรคการเมืองเท่านั้น แต่ต้องเสียงหนึ่งในสามจากคนที่มาจากการคัดเลือก สรรหา (สว.) เหล่านี้ ทำให้ความขัดแย้งแก้ไขไม่ได้"นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่สำคัญแนวทางประชามติก็ตึงเครียด มีการจับกุม มีวิธีไม่ปกติจากหลาย ๆ ฝ่าย นำสู่ประเด็นโต้แย้งไม่จบไม่สิ้น ว่าฝ่ายที่มีความเห็นหลากหลายไม่ได้รับความเป็นธรรม มีพื้นที่แสดงออกหรือไม่ ทำให้ความชอบธรรมไม่เกิดอย่างที่คนเสนอให้ทำประชามติคาดหวัง หมายความว่าแทนที่จะแก้ความขัดแย้งจะกลายเป็นเงื่อนไขสู่ความขัดแย้งที่ไม่ต่างจากอดีตทั้งช่วงสิบปีหรือห่างไกลกว่านั้น โจทย์ที่จะมาแก้ความขัดแย้งจึงเกรงว่าไม่บรรลุ
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่าประเด็นที่สาม การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รับชัน จุดนี้ถูกหยิบยกมาว่าเป็นจุดเด่น และตนก็สนับสนุนบทบัญญัติหลายมาตรา เช่นการเพิ่มโทษ การเข้มงวดกวดขันคุณสมบัติต้องห้ามของผู้เข้ามาสู่การเมือง แต่ต้องมองให้ครบวงจร เราจะเพิ่มโทษอย่างไรก็ตาม การจับการทุจริตต้องเริ่มจากบรรยากาศและสภาวะแวดล้อมที่เปิดให้ประชาชนหาข้อมูลตรวจสอบถ่วงดุลได้เต็มที่ ไม่งั้นจะไม่รู้ว่ามีใครทุจริตไปโกงที่ไหนยังไง และที่สำคัญเปลี่ยนวิธีการการจัดการนักการเมืองโกง จากเดิม ถอดถอน และคดีอาญา ก็ยกเลิกการถอดถอน พึ่งเพียง ปปช. กับศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีในรัฐธรรมนูญเดิม
ปัญหาคือฉบับใหม่กลับทำให้สององค์กรนี้อ่อนแอลงในการปราบปรามคอรับชั่น กรณีของ ปปช. ต้องไม่ลืมว่าคนมาชี้เป็นชี้ตายได้ต้องอิสระและเที่ยงตรง ในอดีตช่องทางตรวจสอบ ปปช. ไม่ยาก แต่ฉบับใหม่ต้องยื่นเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็เป็นคนของรัฐบาล และมีดุลพินิจสิทธิ์ขาดว่าจะส่งศาลดำเนินการหรือไม่ ประเด็นนี้กระทบต่อความเป็นอิสระและความเข้มแข้งของฝ่ายตรวจสอบอย่างยิ่ง เพราะเปิดช่องทางการต่อรอง ทำให้ฝ่ายตรวจสอบไม่มีช่องทางทำอะไรได้
ส่วนศาลฎีกาแผนกคดีอาญา แม้อดีตเราบ่นมาก แต่ก็เป็นศาลที่จำคุกนักการเมืองได้ และศักดิ์สิทธิ์พอสมควร แต่ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไปเปลี่ยนแปลงกระบวนการนี้ เดิมถ้าพิพากษาว่าใครผิดใครโกง ผู้ถูกลงโทษจะอุทธรณ์ได้เมื่อมีหลักฐานใหม่เท่านั้น และต้องอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา พูดได้ว่านักการเมืองจะกลัวศาลนี้เป็นพิเศษ แต่ฉบับใหม่กลับทำให้การอุทธรณ์ง่ายขึ้น และยังไม่กำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ไว้ และการวินิจฉัยอุทธรณ์โดยองค์คณะใหม่ไม่ใช่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาทั้งคณะ พูดง่าย ๆ แพ้ครั้งแรกก็ลุ้นครั้งที่สองได้อีกครั้ง
"คาดว่าถ้าร่างนี้ผ่าน คนกลุ่มแรกที่ได้ประโยชน์คือกลุ่มคนที่โดนคดีจำนำข้าว เพราะคำตัดสินจะออกมาหลังประกาศใช้อีกเดือนสองเดือน ถ้าผ่านก็ใช้สิทธิ์ได้ทันที ทั้งสามโจทย์จึงให้คำตอบว่าผมไม่รบร่างรัฐธรรมนูญนี้ ขอย้ำว่าไม่เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง หรือเรื่องพรรคการเมือง แต่ไม่รับเพราะไม่ตอบโจทย์ประเทศ ไม่เป็นกติกาถาวรที่เอื้อให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากสภาพเดิม"นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสทิธิ์กล่าวอีกว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะเกิดอะไรขึ้น ตนไม่อาจรับร่างนี้ได้เพียงเพราะกลัวว่าจะได้สิ่งที่แย่กว่า กลับมองว่าถ้าไม่ผ่านประเทศมีโอกาส การบอกว่ารับหรือไม่รับ ไม่ใช่เพราะเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทางการเมือง และไม่ยอมรับเงื่อนไขว่าถ้าไม่ผ่านจะมีฝ่ายใดมาสร้างความวุ่นวาย ตรงกันข้ามตนกลับสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. มาจัดทำฉบับใหม่ตามโรดแมปชั่วคราวเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะถึงไม่ผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังต้องรับผิดชอบปัญหาบ้านเมืองและเดินตามโรดแมป แต่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ให้รัฐธรรมนูญฉบับที่ดีกว่าแก่สังคม
เชื่อว่าอย่างไรเสีย พล.อ.ประยุทธ์ต้องตระหนักว่าที่ไม่ผ่านมีสาเหตุอย่างไร แต่คงไม่เขียนคนเดียว ต้องทบทวนจุดแข็งจุดอ่อน ฟังเสียงสังคม โดยไม่ต้องเปลี่ยนเป้าหมาย เรื่องปฏิรูป แก้ปัญญาความขัดแย้ง
ขอเสนอว่าจุดเริ่มต้นน่าจะเป็น รัฐธรรมนูญปี 50 เพราะหนึ่ง เคยผ่านประชามติมาแล้ว เวลาจะแก้ศาลรัฐธรรมนูญก็เคยวินิจฉัยว่าควรกลับไปถามประชาชนให้แน่ใจก่อน ต้องกลับถามความเห็นของประชาชนเพราะมาจากประชามติ และเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี50 ไม่ใช่เงื่อนไขรัฐประหาร และจำได้ว่าคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 5 รัฐประหารแล้วยังไม่ยกเลิก รัฐธรรมนูญปี 50 แค่ขอให้ยุติชั่วคราว แสดงว่า คสช. ก็ไม่มองว่าปัญหามาจาก รัฐธรรมนูญนี้ สามบทบัญญัติสิทธิเสรีภาพฉบับ 50 ชัดเจน แต่การนำฉบับนี้มาเป็นหลัก พล.อ.ประยุทธ์ควรกำหนดเป้ามายการปรับปรุงชัด เช่นความเข้มข้นการปราบทุจริต มีอะไรแก้ปัญหาความขัดแย้งในอดีต รวมไปถึงการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และสามารถทำควบคู่กับการดำเนินการปฏิรูปที่สำคัญก่อนเลือกตั้ง ไม่ต้องโยงไปสู่การมีกฎหมาย การมีคณะกรรมการปฏิรูป
"มองว่าถ้าไม่ผ่าน สังคมส่วนใหญ่ไม่ต้องการความวุ่นวาย แต่มองว่าเปิดโอกาสใหม่ของประเทศเถอะ และช่วยให้หลุดพ้นปัญหาหล่มเดิมที่ติดกับดักมาสิบปี"นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าหลายคนสนใจการแถลงจุดยืนวันนี้ คงมีคำถามประเด็นการเมืองมามาย แต่เรามีโอกาสสร้างก้าวใหม่แก่ประเทศไทย ปชป. ก็ต้องการเริ่มต้นก้าวแรกที่เป็นก้าวใหม่ในการเมืองใหม่ ต้องพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ ตามหลักการอุดมการณ์ ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ประเทศ เอาข้อเท็จจริงเหตุผลมาพูด ไม่ได้เอาเพราะชอบคนนี้ก็เอาตาม ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามพูดต้องคัดค้านทะเลาะตลอดเวลา การเมืองไทยสังคมไทยจะไม่มีวันหลุดพ้นจากวิกฤติผ่านมา ยืนยันว่าเอาเหตุผลสวนรวมมาว่ากัน ไม่สนใจว่า คสช. นปช. จะพูดอะไร
"จะไปสนใจว่าเพราะใครที่ใช้ไม่ได้พูดอะไรก็ใช้ไม่ได้ไม่ได้ เพราะขนาดนาฬิกาตายยังบอกเวลาตรงได้วันละสองครั้ง คนที่ห่วงว่าเป็นการสมคบรวมหัวของนักการเมืองพรรคการเมือง ขอบอกว่าไม่ใช่ และอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ก็ชัดเจน นอกจากจะเน้นหลักกฎหมายเหตุผล ประชาธิปไตยไม่สนับสนุนระบบเผด็จการแล้ว อุดมการณ์เดิมคือ ผมและพรรคไม่มีวันสมคบกับคนที่เคยโกงชาติ และจะโกงอีกในอนาคตเด็ดขาด"นายอภิสิทธิ์กล่าว
จากนั้นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ตัดบทว่าขอวันนี้ไม่ตอบคำถาม ต้องการให้สังคมพิจารณาสาระสำคัญที่พูดก่อน แล้วค่อยให้สัมภาษณ์ภายหลัง โดยบอกปัดคำถามสื่อมวลชนที่ว่า การแถลงจุดยืนลักษณะนี้อาจถูกมองว่าเป็นการหาทางลงให้ คสช. หากกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ โดยกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า "จบข่าว"